สุญญากาศการเมือง ... 10 เดือนที่เศรษฐกิจประเทศรอไม่ได้
ข่าวประกาศกลับบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ทำให้กระแสการจัดตั้งรัฐบาลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดูจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง หลังจากล่าสุด ประธานรัฐสภา สั่งเลื่อนการโหวตนายกฯ รอบที่ 3 วันที่ 27 ก.ค. ออกไปก่อน เพื่อรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซ้ำ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำให้ตอนนี้การเมืองไทยยังไม่ไปไหนไม่ไกล ทั้งที่การเลือกตั้งจบมากว่า 2 เดือนแล้ว แต่กลับไม่มีความชัดเจนที่แสดงความสบายใจได้เลยว่า ประเทศชาติ ประชาชนจะได้รัฐบาลเมื่อไหร่
ถามว่าแล้วตอนนี้จะมีนายกฯ และตั้งรัฐบาลได้ตอนไหน เนื่องจากตามไทม์ไลน์คือไม่เกินสิงหาคม เพราะฉะนั้นอีกประมาณ 1 เดือนจากนี้ไป พรรคเพื่อไทย ที่สถานการณ์พลิกกลับให้กลายมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกลจะต้อง ทำให้สำเร็จ ทั้งได้ตัวนายกฯ และตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อ เพียงแต่ว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดังนั้นถามต่อว่า แล้วสุญญากาศ ทางการเมืองเกิดหรือยัง .. ตอบตอนนี้ก็คือยังไม่เกิด แต่หากผ่าน 3 เดือนไปแล้ว ยังยักแย่ยักยัน ต่อรองไม่เสร็จ พลิกขั้วไม่ได้ทั้งที่อยากจะพลิก ก็มีโอกาสที่ประเทศจะเข้าสู่สุญญากาศ โดยเฉพาะหากอีกฟากฝั่ง ซึ่งก็คือ พรรคก้าวไกล ไม่ยอมถอย และยังยึดมั่นในเอ็มอูโย 8 พรรคอย่างเหนียวแน่น และยิ่งหากพร้อมจะอดทนรอ 10 เดือนเพื่อให้ ส.ว. หมดวาระ นั่นคือ เราเข้าสู่สุญญากาศการเมืองแน่ๆ
แม้จะมองว่าอาจจะดีในมุมของพรรคการเมืองบางพรรค เราจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะปิดสวิทช์ ส.ว. ได้สนิท แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามอีกว่า ประเทศและเศรษฐกิจจะรอได้หรือสำหรับ 10 เดือน ยิ่งเมื่อมองจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่เรื่องดี หากเราจะปล่อยให้ 10 เดือนผ่านไป ด้วยการบริหารผ่านรัฐบาลรักษาการ เพราะแม้จะสามารถบริหารได้ แต่ก็ทำได้ในกรอบที่จำกัด
ขณะที่ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเองก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะตราบใดที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ ก็คงไม่แน่ใจเรื่องการเข้ามาลงทุนโครงการใหม่ๆ ได้ เรียกว่าน่าจะกระทบทั้งในแง่ลงทุนทางตรง และทางอ้อม อย่างเช่นในตลาดหุ้นที่ชอบความชัดเจนมากกว่าความคลุมเครือ และแน่นอนว่ายิ่งคลุมเครือ ไม่ชัด ก็มีแววที่อาจจะไม่เข้ามาลงทุน หรือถอนเงินลงทุนในระยะสั้นออกไปจนกว่า เราจะได้รัฐบาลใหม่
โดยประเด็นนี้ ฝ่ายวิเคราะ บล. เอเซียพลัส วิเคราะห์ไว้ว่า การปล่อยให้ครบ 10 เดือนแล้วค่อยมาตั้งรัฐบาลนั้น นอกจากจะเกิดสุญญากาศของรัฐบาลแล้ว ยังเกิดสุญญากาศของงบประมาณด้วย เพราะปกติแล้วงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะถูกเบิกจ่ายช่วง 1 ต.ค. 2566 – 30 ก.ย.2567 ซึ่ง หากเกิดสุญญากาศจนถึง พ.ค.67 จะทําให้ช่วงเวลาที่จะใช้พิจารณางบประมาณสั้นลง และใช้ประโยชน์ได้ไม่เท่าที่ควร
ซึ่ง ASPS ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้มีโอกาสที่จะเกิดสุญญากาศได้ ซึ่งจะทํา ให้งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2567 ถูกพิจารณาและเบิกจ่ายได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ ตามต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นเช่นไร ซึ่งภาวะปัจจุบันที่มีความไม่ แน่นอนทางการเมือง จะเป็นปัจจัยกดดัน Flow ต่างชาติไหลออกช่วงสั้น และกดดัน SET Index ระยะถัดไปด้วย
ส่วน ยูโอบีเคย์เฮียน มองว่าปัจจัยภายในประเทศ เป็นปัจจัย Overhang ต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย ซึ่งในแง่การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าออกไปมากกว่าคาด ส่งผลให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ รวมทั้งการลงทุนจากภาครัฐจะออกมาล่าช้ากว่าคาดเช่นเดียวกัน อีกทั้งคาดว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำหลักในการจัดตั้งรัฐบาลได้ จะทำให้บรรยากาศการเมืองนอกสภามีความวุ่นวายผ่านการชุมนุมทางการเมืองต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ที่ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
เพราะฉะนั้น มองแบบนี้ในฐานะประชาชนที่ไปเลือกตั้ง ก็คงอยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกมาได้เป็นรัฐบาล และพร้อมจะรอเวลา 10 เดือน ให้ฟากฝั่งที่มีปัญหาหมดไป แต่ก็ต้องย้อนกลับมาที่คำถามเดิมว่า 10 เดือนที่รอไปเรื่อยๆ นั้น เศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน จะรอได้นานแค่ไหน เพราะบางอย่าง บางเรื่อง ประเทศก็คงรอนานไม่ได้ขนาดนั้น
แล้วจะโยนความผิดไปให้ใคร ที่มีส่วนให้ประเทศชาติต้องติดหล่มตอนนี้ เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบอยู่แล้ว