โรงไฟฟ้าร้องจ๊าก มาร์เก็ตแคปหาย-กำไรหด หลังรัฐฯลดค่าไฟ
เริ่มบริหารประเทศยังไม่ถึงเดือน แต่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน โชว์ฟอร์มลดค่าไฟฟ้าไปแล้ว 2 ครั้ง ในรอบ 1 สัปดาห์ เริ่มจากประชุม ครม. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ย. ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาท และล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 18 ก.ย. ก็มีมติปรับลดอีกครั้งเหลือ 3.99 บาท/หน่วย โดยให้มีผลทันทีในรอบบิลเดือนก.ย.66
เท่ากับว่าตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลลดค่าไฟไปแล้ว 46 สตางค์ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการหลายภาคส่วนในการลดค่าใช้จ่าย และต้นทุนการผลิตสินค้า
อย่างไรก็ดี มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสีย เพราะแค่รัฐบาลประกาศลดค่าไฟ ก็ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงทันทีทันควัน ซึ่งโบรกเกอร์หลายแห่ง เช่น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า การลดค่าไฟฟ้า จะส่งผลลบต่อกำไรของหุ้นโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก เช่น BGRIM และ GPSC และคาดว่ากำไรของทั้ง 2 บริษัท จะยังถูกกดดันไปจนถึงปี 67
ขณะที่ ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองว่า ธุรกิจที่จะได้รับ Sentiment ลบในระยะสั้น คือ โรงไฟฟา SPP เช่นกัน โดยรายได้จากค่า Ft จะลดลงในเดือนสุดท้ายของปี และทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/66 และทั้งปี 66 จะตํ่ากว่าประมาณการเดิม ในกรณีต้นทุนก๊าซใน Q4/66 ไม่เปลียนแปลง แต่ถ้าโรงไฟฟ้าได้รับต้นทุนก๊าซที่ต่ำลงไปด้วย ผลกระทบต่อกำไรสุทธิ Q4/66 ก็จะไม่มีมาก โดยประเมินว่า หุ้นที่ได้รับผลกระทบระยะสั้น ได้แก่ BGRIM, GPSC
แต่ในทางตรงกันข้าม ดีบีเอสฯ ระบุว่า อัตราค่าไฟที่ลดลง เป็นบวกกับหลากหลายธุรกิจและภาคครัวเรือน โดยธุรกิจที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูง ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง
เรียกว่าเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องเซนซิทีฟ และกระทบในวงกว้างจริงๆ เพราะไม่ว่าจะปรับขึ้น หรือปรับลง ก็หนีกันไม่พ้นและเท่านั้นยังไม่พอ งานนี้นอกจากเจ้าของโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว ยักษ์ใหญ่อย่าง กฟผ. และ ปตท. ที่เป็นผู้แลเรื่องต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้าคือก๊าซธรรมชาติ ก็ต้องมาช่วยรับภาระหรือเป็นคนแบกอีกทอดหนึ่งด้วยเหมือนกัน จนกว่าเหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
จะว่าไปแล้ว กลุ่มโรงไฟฟ้าไม่ใช่เพิ่งได้รับกระทบจากการลดค่าไฟของรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ก่อนหน้าการประกาศนโยบายต่างๆ ของหลายๆ พรรคการเมือง ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ก็ส่งผลต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะต่อมูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคป
ล่าสุด ทีมงานสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย ได้คัดเลือก 8 หุ้นโรงไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของไทย ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการลดค่าไฟของหลายพรรคการเมืองตั้งแต่ช่วงภายหลังการเลือกตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ( 15 พ.ค.- 19 ก.ย.66 ) ประกอบด้วย GULF EA GPSC BGRIM RATCH EGGO BPP และ CKP มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หายไปแล้วรวมกันประมาณ 141,646 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปลดลงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มูลค่าลดลง 47,300 ล้านบาท รองลงมาคือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มูลค่าลดลง 31,017 ล้านบาท บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มูลค่าลดลง 23,400 ล้านบาท บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มูลค่าลดลง 16,293 ล้านบาท และบมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) มูลค่าลดลง 11,419 ล้านบาท
ช่วงนี้ใครมีหุ้นโรงไฟฟ้า คงกุมขมับกันน่าดู เพราะรัฐบาลใหม่ เขาก็ต้องประกาศนโยบายตามที่ได้เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ ส่วนหลังจากนั้นจะประกาศลดอีกหรือไม่ หรือจะลดอีกเท่าไหร่ ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องคำนวณเรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่ายกันอีกที ซึ่งก็ต้องลุ้นกันอีกครั้ง 3.99 บาท อาจจะยังแพงอยู่หรือไม่ ... ถามใจรัฐบาล