เร่งเช็คบิล กระบวนการสูบเลือด STARK
เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องฉาว และเรื่องสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงสำหรับ กรณีหุ้น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK จากหุ้นดาวรุ่งมูลค่าตลาดกว่า 7 หมื่นล้านบาท กลายเป็นหุ้นดาวร่วง แถมยังร่วงแบบไม่ธรรมดา เพราะมีกระบวนการสูบเลือด สูบเนื้อบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง จากบริษัทที่มีกำไร กลายเป็นขาดทุนยับกว่าหมื่นล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นก็ติดลบกว่า 4 พันล้านบาท เรียกว่าผู้เกี่ยวข้องกับหุ้นตัวนี้ ได้รับความเสียหายถ้วนหน้า
ทำให้ ตลท. ประกาศให้ STARK เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน และเตรียมขึ้นเครื่องหมาย SP 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ทำให้ราคาหุ้นที่เคยขึ้นไปจากระดับ 5.50 บาทเมื่อปีก่อน มาอยู่ที่ 0.01 บาท
หลังจากปรากฎการณ์หุ้น STARK สั่นสะเทือนตลาดทุนบ้านเรา จนกระทบ SET Index ไปไม่น้อยเลยนั้น หน่วยงานรัฐก็เริ่มขยับตัว ล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประกาศรับการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงิน STARK เป็นคดีพิเศษ ตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่า มีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ
โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ยอมรับว่า เบื้องต้นดีเอสไอมีพยานหลักฐานบางส่วน ซึ่งเป็นข้อมูลที่คณะผู้บริหารชุดใหม่ได้นำส่งไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น พฤติการณ์ความเกี่ยวข้องของบุคคลต่างๆ ที่อาจมีส่วนในการร่วมกระทำความผิด เช่น การตกแต่งงบบัญชี ซึ่งวันจันทร์นี้ (26 มิ.ย.) ดีเอสไอ จะหารือกับ ก.ล.ต. เพื่อกำหนดแนวทางการสืบสวนสอบสวน และหาตัวผู้กระทำความผิด หรือผู้ที่เชื่อได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด
งานนี้ คงต้องรอดูว่า ดีเอสไอ และก.ล.ต. จะหาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ เพราะคดีสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส่ และธรรมาภิบาล ที่ควรต้องมีของบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งยังสะท้อนได้ถึงความผิดปกติของงบการเงิน ที่ใครมีส่วนร่วมบ้าง นั่นคือสิ่งที่หน่วยงานตรวจสอบ และกำกับดูแลต้องเร่งมือ เพราะตอนนี้ความเชื่อมั่นในตลาดสั่นคลอนไปมาก
จะบอกว่าเป็นเรื่องการกระทำส่วนบุคคลก็คงไม่ใช่ เพราะบุคคลก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดูแล ผู้ถือหุ้น นักลงทุน การถามหาความรับผิดชอบ และคนผิดมาลงโทษ และดำเนินดคี จึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งมือ เพื่อฟื้นความมั่นใจ ความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งข้อมูลตอนนี้ มีรายย่อยที่ลงทุนใน STARK รวมตัวกันมากกว่า 600 ราย มูลค่าความเสียหายเกิน 1.1 พันล้านบาท เข้าไปแล้ว โดยจะรวบรวมผู้เสียหายไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 25 มิ.ย. นี้ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชื่อร่วมดำเนินคดีกลุ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย จากผู้ถือหุ้นทั้งหมดมากกว่า 10,000 ราย
ขณะที่ดีเอสไอ บอกชัดเจนว่า หากหลักฐานที่ได้เชื่อมโยงถึงกรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด ก็จะพิจารณาออกหมายเรียกให้บุคคลดังกล่าวเข้ามาชี้แจงในฐานะพยาน พร้อมเอกสาร/หลักฐาน และหากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนได้ข้อเท็จจริงชัดเจนว่าผู้ใดกระทำความผิด ก็อาจจะออกหมายเรียกผู้ต้องหา ซึ่งข้อกล่าวหาเบื้องต้น คาดว่าจะพิจารณาในฐานความผิดของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์. พ.ศ. 2535 และร่วมกันฟอกเงิน
งานนี้ คงหนีไม่พ้นเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์ ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นบ้านเรา นี่แหละคำพังเพยที่ว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ จึงยังใช้ได้เสมอ ไม่เว้นแม่แต่ บจ. ในตลาดหุ้น ธุรกิจดี ภาพพจน์บริษัทดี แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าภายใต้ภาพสวยๆ นั้นจะซ่อนอะไรไว้บ้าง