รัฐบาลใหม่ หวังดันจีดีพีโต 5% - ไม่เก็บแล้วภาษีขายหุ้น
เรียบร้อยโรงเรียนเศรษฐา หลังจากประชุม ครม. นัดแรกไปเมื่อวันพุธที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา ทันทีที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. เสร็จ ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามคาด เพราะนโยบายส่วนมากก็ออกมาเอาใจประชาชนแบบจัดเต็ม ทั้งลดราคาน้ำมันดีเซล เหลือไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรมีผล 20 ก.ย. นี้ถึงสิ้นปี 66
ปรับลดค่าไฟเหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาท เริ่มรอบบิลก.ย. พักหนี้เกษตรกร 3 ปี ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน และขยายเวลาตรึง VAT 7% ออกไปอีก 1 ปี ถือว่าจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ สำหรับวันแรกของการประชุม ครม.
สำหรับนโยบายหลักอย่าง ดิจิทัล วอลเล็ต ก็ยังประกาศตั้งทีมงานมาดูแลด้าน Digital Wallet ที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทีมงานไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และยืนยันการดำเนินนโยบายนี้จะไม่ให้เป็นภาระหนี้สาธารณะ
โดยการประกาศนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือดิจิทัล วอลเล็ต ถือเป็นเรือธงในการผลักดันเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงนโยบายการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลประกาศให้เป็นแผนปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) สำหรับประเทศไทย และตั้งเป้าหมายปีนี้จะต้องมีนักท่องเที่ยว 28 ล้านคน มีรายได้ทั้งสิ้น 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 67 ตั้งเป้าหมายจะมีนักท่องเที่ยวรวม 40 ล้านคน หรือมีรายได้มากกว่า 3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะกลับไปสู่ระดับมากกว่าปี 62 หรือ ก่อนเกิดโควิด-19
ดังนั้น 2 นโยบายหลักนี้ จึงเป็นความหวังของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าว่าตลอดอายุรัฐบาลจะทำให้จีดีพีโต 5% จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 2.5-3.5% ที่ต้องบอกเลยว่าหลังผ่านช่วงโควิดมานั้น จีดีพีโตเกิน 3% ได้ก็เก่งแล้ว แต่จะทำให้ได้ถึง 5% จึงไม่ใช่งานง่ายแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นปี 67 รับรองได้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล "เศรษฐา" มีออกมารัวๆ อย่างแน่นอน
นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ที่จะเป็นหัวหอกแล้ว เรื่องการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน และล่าสุด นายกฯ เศรษฐา ก็แถลงชัดเจนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดึงการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยเตรียมเข้าพบผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ที่สนใจลงทุนในไทย หลายๆ บริษัท เพื่อกระตุ้นการลงทุน และยกระดับอุตสาหกรรมไทย ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ กูเกิล เอสเต้ ลอเดอร์ เทสล่า ฯลฯ
และแน่นอนก็คือการลงทุนในตลาดหุ้น ที่รัฐบาลนี้จะไม่มีการพิจารณาจัดเก็บภาษีขายหุ้นตลอดวาระทำงาน 4 ปี หลังจากรัฐบาลก่อนหน้าเคยประกาศจะจัดเก็บ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน จนส่งผลให้นักลงทุนลังเลที่จะเข้ามาลงทุน
ปีนี้อาจจะวัดผลอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ แต่ปี 2567 รับรองว่าความคาดหวังง และถูกจับตามอง อย่างใกล้ชิดของประชาชน ผู้ประกอบการเอกชน ตลอดจนนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พุ่งเข้าใส่รัฐบาลแน่ๆ จะดีหรือไม่ดี จะทำได้ 5% หรือไม่ได้ ผลงานเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์