จับตาเทรดวอร์ สหรัฐฯ-จีน รอบใหม่ ... สงครามที่ไม่มีวันจบ
หลังจากตั้งท่า จะขึ้นๆ มาหลายครั้ง ในที่สุด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ก็ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน จากปัจจุบันที่ 25% เป็น 100% และเก็บภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์ เพิ่มขึ้นสองเท่าจาก 25% เป็น 50% ขณะที่ภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมบางส่วนจะจัดเก็บเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 7.5% เป็น 25% รวมเป็นมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะเริ่มดำเนินการในปีนี้
ปฏิบัติการขึ้นภาษีมหาโหดครั้งนี้ ทำเนียบขาว ระบุว่า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งก็ทันทีทันควัน เพราะจีนออกมาประณามการการะทำของสหรัฐฯ และให้คำมั่นว่าจะตอบโต้กลับเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเปิดฉากสงครามการค้า หรือเทรดวอร์ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ขณะที่จีนมองว่าการขึ้นภาษีเพิ่มเติมนี้เป็น “การชักจูงทางการเมือง” ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปีนี้ ซึ่งก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวว่าถ้าได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 60% ไม่มียกเว้นว่าจะเป็นสินค้าอะไร
และเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา จีนก็เริ่มเทขายพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาเป็นประวัติการณ์ ถึง 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าจีนเริ่มกระจายการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อเตรียมตัวรับกับการเผชิญหน้า สงครามการค้ารอบใหม
ล่าสุด IMF ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของไบเดนว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และกรณีที่รุนแรงที่สุด เศรษฐกิจโลกอาจหดตัวลง 7% เท่ากับขนาดเศรษฐกิจของเยอรมนีและญี่ปุ่นรวมกัน ซึ่งเราๆท่านๆ ก็เห็นกันมาว่าแล้วเมื่อหลายปี เทรดวอร์ระหว่าง 2 สหรัฐฯ กับ จีน ส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุนโลกขนาดไหน
ระฆังยกแรกเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว ยักษ์ใหญ่เริ่มคำรามใส่กัน รอบข้างก็จะสั่นไหวทันที เพราะสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่าสถานการณ์ทั้งสองประเทศกลับมาตึงเครียดรอบใหม่ และแน่นอนถ้าทรัมป์กลับมานั่นคือการเกิดสงครามเต็มรูปแบบอย่างไม่ต้องสงสัย
หาทางยกการ์ดตั้งรับกันตั้งแต่เนิ่นๆ กันเลย เพราะสงครามรอบนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ