efinancethai

บทบรรณาธิการ

โดย
พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน

: กองบรรณาธิการ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

[email protected]

การเมืองชี้ชะตาหุ้นไทยเดือนส.ค.

การเมืองชี้ชะตาหุ้นไทยเดือนส.ค.

 "สิงหาร้อน" จะพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิดสำหรับเดือนนี้ เพราะปัจจัยการเมืองในประเทศ จะเป็นประเด็นที่ทุกคน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องจับตามอง กันแบบห้ามกระพริบตากับไฮไลท์ 2 วัน คือวันที่ 7 สิงหาคม  คดียุบพรรคก้าวไกล และวันที่ 14 สิงหาคม คดีถอดถอนนายกรัฐมนตรี "เศรษฐา ทวีสิน" โดยเฉพาะผลกระทบต่อตลาดหุ้น ซึ่งบรรดากูรูทั้งหลายมองว่าช่วงเวลาก่อนรู้ผลตัดสิน จะมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุน ซึ่งอาจกดดันตลาดหุ้นไทยผันผวนได้ 


                             
โดยคดีถอดถอน นายกฯ น่าจะเป็นจุดพีคที่สุด ที่จะผลต่อ SET Index และไม่ว่าการตัดสินจะออกมาในรูปไหนตลาดหุ้นเดือนนี้จะมีความผัวผวนสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะหากผลการตัดสินออกมาว่า นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งจริงๆ  


                                
อย่าง บล.ทิสโก้ ที่ประเมินว่า หุ้นไทยเดือนนี้จะมีความผันผวนสูง เพราะตลาดยังคงจับตาการตัดสินคุณสมบัตินายกฯ "เศรษฐา ทวีสิน" ซึ่งถ้าตัดสินออกมาเป็นลบจะเป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย เพราะคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะต้องหยุดชะงักชั่วคราว แต่ถ้าตัดสินออกมาเป็นบวกก็จะหนุนตลาดหุ้นไทย


                                 
นอกจากนี้ หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบต่อนายกฯ จะนำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือน กว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ ก็กระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้าย  และยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลใหม่ด้วยว่าจะสานต่อนโยบายของรัฐบาลเดิม หรือมีการปรับเปลี่ยนใหม่


                               
 ขณะที่อีก 1 โบรกเกอร์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่าตลาดจะตอบสนองเชิงลบในระยะสั้น ถ้าศาลตัดสินให้ถอดถอน "เศรษฐา ทวีสิน" จากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดรัฐบาลจะต้องยุบสภา ก็อาจทำให้การอนุมัติงบประมาณรัฐบาลปี 2568 มีความล่าช้าและกระทบเศรษฐกิจอีกครั้ง  แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคำตัดสินเป็นบวกต่อ "เศรษฐา ทวีสิน" คาดว่า SET Index จะฟื้นตัว และตลาดน่าจะหันกลับไปให้ความสนใจกับปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มเศรษฐกิจขาขึ้นและการเติบโตของกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 67 


                               
 ซึ่งจากที่เห็นโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ มักจะคาดการณ์ไปในมุมมองเชิงลบมากกว่าที่จะออกมาดี และเอาเข้าจริงแล้วตลาดฯ แสดงความกังวลไปในกรณีที่เลวร้ายเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่านักลงทุน และตลาดฯ จะไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าจากนี้ไปเป็นสัญญาณอันตราย ที่ตลาดฯ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย  ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาดี หรือไม่ดี 

 

หลายคนคงอยากจะบอกว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วสำหรับหุ้นไทย เพราะฉะนั้นก็ให้มันจบที่รุ่นของเรา และให้มันจบให้เรียบร้อยในปีนี้เลยแล้วกัน จากนั้นก็หวังว่าจะมีแต่เรื่องดีๆสิ่งดีๆ เข้ามาเพราะ "ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ"







บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh