บทความแนะนำ

"Growth Stock" เลือกอย่างไร และควรซื้อตอนไหน ?

สำหรับนักลงทุนที่อยากได้รับผลตอบแทนงาม ๆ หนึ่งในประเภทหุ้นที่ควรมีติดพอร์ตไว้ นั่นก็คือหุ้นเติบโต (Growth Stock) เพราะหุ้นดังกล่าวมีศักยภาพทำกำไรสุทธิเติบโตสูงอย่างน้อย 20 - 30% ต่อปี เป็นระยะเวลานานนั่นเอง  

ดังนั้น การเติบโตของผลประกอบการที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าว ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และถ้าเราสามารถหา Growth Stock เจอก่อนใคร ก็จะยิ่งเป็นโอกาสในการทำกำไรระดับสูงในระยะถัดไปด้วย

ทว่า การจะค้นหาหุ้นสัก 1 บริษัท ที่มีแนวโน้มเป็น Growth Stock ในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใช่ป่ะ ! วันนี้แอดเลยหยิบทริคค้นหา Growth Stock จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาแบ่งปันเพื่อน ๆ ให้ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะ

โดยตลาดหลัทรัพย์ฯ ระบุว่า หัวใจสำคัญในการค้นหา Growth Stock คือ การมองทิศทางเศรษฐกิจ หรืออุตสาหกรรมภาพใหญ่ให้ออกว่า อีก 5 - 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจแบบใดจะเป็นธุรกิจในอนาคตและจะมีการเติบโตสูง 

ซึ่งวิธีประเมินคร่าว ๆ ว่าหุ้นบริษัทไหน จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น Growth Stock ในอนาคตอันใกล้ นักลงทุนอย่างพวกเราสามารถใช้เหตุผล 3 ข้อ ดังต่อไปนี้ เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจได้เลย

1.คุณภาพ : เป็นกิจการที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อสินค้า เป็นสินค้าที่ไม่ตกเทรนด์ได้ง่าย มีความได้เปรียบด้านต้นทุน มีสิทธิบัตรหรือสัมปทาน

รวมถึงมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและธรรมาภิบาลสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว 

2.การเติบโต : ควรเป็นกิจการที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร ซึ่งพิจารณาได้จาก อัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) ควบคู่กับอัตราการเติบโตของกำไร 

ซึ่งสามารถดูได้จากหลายอัตราส่วนทางการเงิน เช่น EPS Growth, Net Profit Margin, ROA หรือ ROE โดยนักลงทุนต้องเข้าใจข้อจำกัดของแต่ละอัตราส่วนก่อนนำไปปรับใช้ด้วย เช่น หุ้นที่มีกำไรเติบโตนั้นเกิดจากกำไรพิเศษที่ได้มาแค่ชั่วคราวในปีเดียวหรือไม่ ?

3.มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น : การลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูงและเติบโตเร็วอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี หากนักลงทุนซื้อในราคาที่แพงจนเกินไป ดังนั้น หากจะวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นเติบโตให้ได้อย่างเหมาะสม

เราสามารถใช้วิธีหา "อัตราส่วน PEG" เพื่อประเมินมูลค่าเบื้องต้นได้ ด้วยการนำค่า P/E Ratio ของหุ้นหารกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยในระยะยาวในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า หาก PEG มากกว่า 1 เท่า หมายความว่า ราคาหุ้นค่อนข้างแพง แต่หาก PEG น้อยกว่า 1 เท่า หมายความว่า ราคาหุ้นค่อนข้างถูกนั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับ Growth Stock ก่อนเข้าลงทุน คือ หุ้นลักษณะดังกล่าวส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย มักจะซื้อขายกันในที่ P/E Ratio สูง ๆ เนื่องจากนักลงทุนมีความคาดหวังต่อบริษัทค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าลงทุนได้ยาก หากพลาดก็จะทำให้เราซื้อหุ้นแพงเกินไป

ดังนั้น เราอาจต้องอดทนรอให้ราคาหุ้นลดลงในระดับเหมาะสม ซึ่งอาจเกิดเหตุการณ์ที่ราคาหุ้นเติบโตเหล่านั้นลดความร้อนแรงลง เช่น วิกฤติชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทหรือวิกฤติเศรษฐกิจ หากตรวจสอบแล้วว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นโอกาสให้สามารถเข้าลงทุนในหุ้นเติบโตได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปได้ 

ส่วนจังหวะการเข้าลงทุน Growth Stock ที่เหมาะสม ตามความเห็นของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ ช่วงที่ตลาดซื้อขายกันที่ค่า P/E Ratio ต่ำ หรือช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวชั่วคราว เนื่องจากความเสี่ยงในทิศทางขาลง (Downside Risk) ในภาพรวมจะค่อนข้างน้อย นักลงทุนมีโอกาสสูงที่จะพบหุ้นเติบโตในราคาถูก

หากเราเลือกหุ้นเติบโตได้ถูกตัว ก็อาจได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวได้ และอีกหนึ่งคำถามสำคัญที่เราต้องถามตัวเองเสมอ คือ เมื่อหาหุ้นเติบโตเจอแล้ว เราจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ก็คือ เราต้องศึกษาข้อมูลและติดตามข้อมูลข่าวสารของหุ้นเติบโตที่เราลงทุนอย่างต่อเนื่องว่ายังเติบโตดีอยู่หรือไม่ ?

ทริคในการสแกนหา Growth Stock และจังหวะเข้าลงทุนที่เหมาะสม ที่แอดนำมาฝากเพื่อน ๆ ทุกคนก็มีประมาณนี้เนอะ ส่วนใครที่มีทริคอื่น ๆ เพิ่มเติม ก็สามารถคอมเมนต์เข้ามาแบ่งปันแอด และเพื่อน ๆ คนอื่นได้นะครับ สำหรับวันนี้ไปก่อนนะ บีาย บาย ....



Tags:

Growth Stock




บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh