ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาควรตัดสินใจขายหุ้นได้แล้ว แตกต่างจากจังหวะเข้า"ซื้อ" ที่หลายคนมองว่า ตัดสินใจง่ายกว่า เพียงแค่ศึกษาข้อมูลของบริษัทมาดีพอก็ตัดสินใจซื้อเลย
แต่พอถึงจังหวะ"ขาย" ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด เพราะจะเป็นจุดที่สามารถชี้วัดได้ว่า การลงทุนของเรามีประสิทธิภาพแค่ไหน โดยวัดจากกำไรที่ได้รับ กลับเป็นขั้นตอนที่ทำให้หลายคนเกิดความลังเลมากที่สุด จนบางครั้งพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุสาเหตุ ที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับการขายหุ้น มักมีสาเหตุสำคัญด้วยกัน 3 อย่าง ดังนี้
1.มั่นใจว่าราคาหุ้นจะไปต่อได้อีก : หลายคนเมื่อเห็นราคาหุ้นที่ตนเองซื้อไว้ กำลังปรับตัวขึ้นก็มักใจฟู และคิดว่ามันต้องไปต่อได้อีกแน่ ๆ ทำให้ตกอยู่ในห้วงของความโลภครอบงำ และมองช่วงที่อันตราย อย่างตอนที่ราคาหุ้นกำลังแรลลี่อย่างบ้าคลั่ง ว่า เดี๋ยวก็ไปต่อได้อีกไกลแน่ ๆ จึงตัดสินใจถือหุ้นต่อ แม้ว่าขายตอนนั้น จะได้กำไรสัก 20 - 30% แล้วก็ตาม
แน่นอนว่า ในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก แต่สำหรับหุ้นบางประเภท เช่น หุ้นที่ถูกคาดหวังกับการเติบโตในอนาคตมากเป็นพิเศษ เมื่อราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปแรงแล้ว แต่กลับไม่สามารถสร้างการเติบโตได้ตามความคาดหวัง ก็มักจะปรับตัวลงมาแรงเช่นกัน ทำให้นักลงทุน ที่ถือหุ้นต่ออาจได้กำไรลดลง หรือ อาจถึงขั้นขาดทุนก็มี
2.ไม่มีจุดขายขาดทุน (Cut Los) : เมื่อหุ้นที่ซื้อมา ราคาเริ่มวูบ แต่นักลงทุนกลับตัดสินใจถือต่อโดยไม่มีจุด Cut Loss เพราะเชื่อว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง ราคาหุ้นจะรีบาวด์กลับมาได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่หวัง การปล่อยหุ้นที่มีแนวโน้มราคาดิ่งไว้ในพอร์ต ย่อมทำให้สถานการณ์ย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ
3.คาดเดาตลาดเกินไป : หลายคนพยายามคาดเดาตลาด เพื่อหาจังหวะขายให้ได้กำไรสูงที่สุด จึงทำให้การขายหุ้นเป็นไปได้ช้ามาก ซึ่งในโลกความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่สามารถคาดเดาภาวะตลาดหุ้นได้แม่นยำแบบจับวางหรอก จึงทำให้นักลงทุนที่สามารถซื้อหุ้นในราคาต้นทุนที่ต่ำที่สุด แล้วยังสามารถขายในราคาที่สูงสุดมีน้อยมาก หรืออาจไม่มีเลยก็ได้
เพราะขนาด วอร์เรน บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ 2 นักลงทุนชื่อดัง ยังยอมรับว่า ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับนักลงทุน ก็คือ ควรซื้อ และขายหุ้นในราคาที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ราคาที่ดีที่สุดนั่นเอง
ทีนี้ เมื่อทุกคนเริ่มเห็นความสำคัญของจังหวะการขายหุ้นแล้ว เทคนิคต่อมาที่ทุกคนควรเรียนรู้ คงหนีไม่พ้นการ"ขายให้ถูกเวลา" เพื่อทำให้ผลตอบแทนที่เราได้รับ อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจที่สุด โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เทคนิคง่าย ๆ ไว้ 3 วิธีดังนี้
1.ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่ประเมิน : บางครั้งต่อให้เรา คิดคำนวณราคาเหมาะสมของหุ้นแต่ละบริษัทมาเป็นอย่างดีแค่ไหน ก็ใช่ว่าราคาหุ้นในกระดาน จะปรับตัวขึ้นไปถึงจุดนั้นได้ เพราะการประเมินหรือการคาดการณ์ เป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ จึงมีความไม่แน่นอนสูง
ดังนั้น เมื่อเห็นว่า ราคาหุ้นของเรา เริ่มไม่สะท้อนมูลค่าที่ถูกประเมินไว้แล้ว จังหวะนั้นแหละ ที่เราอาจต้องตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นออกไปก่อน
2.ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว : หากหุ้นของเราเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ต้องทำเป็นขั้นตอนแรก ๆ คือ ควรวิเคราะห์ให้ละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้นว่าเกิดจากสาเหตุใด หากเกิดจากการที่เราประเมินได้อย่างแม่นยำก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่หากราคาปรับขึ้นด้วยสาเหตุที่ไม่น่าไว้วางใจ ก็อาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่สุดในการตัดสินใจถือหุ้นต่อไป เพื่อหวังกำไรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ถ้าหุ้นขึ้นเร็วราวกับจรวด แล้วแตะถึงระดับราคาที่เรามีกำไร ควรตัดใจขายออกมาก่อน แล้วค่อยรอจังหวะซื้อคืนอีกครั้งก็ยังไม่สายนะ
3.ตัดสินใจหรือวิเคราะห์ผิดพลาด : ส่วนใหญ่ เรามักซื้อหุ้นบนพื้นฐานของข้อมูล และการวิเคราะห์ แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือการวิเคราะห์ มีความผิดพลาด ไม่สะท้อนความเป็นจริงของกิจการ ก็ควร"ขายหุ้น"ออกไปก่อน แม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม
ซึ่งดีกว่าใช้อารมณ์ ในการตัดสินใจ แล้วเกิดอาการเสียดาย จึงตัดสินใจถือหุ้นต่อ โดยไม่ยอมรับความจริง สิ่งที่ตามมา คือ อาจทำให้เราขาดทุนสูงขึ้นได้นั่นเอง
จากที่แอดเล่ามายาว ๆ ก็พอจะสรุปสั้น ๆได้ว่า นอกจากการซื้อหุ้นให้เป็นแล้ว เรายังต้องขายหุ้นให้เป็นด้วย เพราะการซื้อและขายหุ้นในจังหวะที่เหมาะสม เป็นกระบวนการทำกำไรที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
สุดท้ายก่อนจะจากกันไป ฝากทิ้งท้ายไว้สักหน่อยนะ อย่าลืมว่า จุดที่ทำกำไร คือ จุดในการขาย แต่เมื่อซื้อแล้วขายไม่เป็น โอกาสขาดทุนก็ย่อมสูงกว่าได้กำไรนะจ๊ะ วันนี้ไปก่อนแล้ว บ๊าย บาย ....