การจัดอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นกับนักลงทุน ซึ่ง "ทริสเรทติ้ง" ก็ถือเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำในประเทศไทยที่ บจ.ชั้นนำต่างให้การยอมรับ และล่าสุด "เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO Group)" หรือ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ก็ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้งในปี 2565 ที่ระดับ “AA+” เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
โดยเบื้องต้น "ทริสเรทติ้ง" ให้เหตุผลว่า การให้เครดิตองค์กรที่ระดับ “AA+” ของ EGCO Group สะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำ การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่มีความหลากหลาย (ทั้งประเภทการผลิตไฟฟ้า เชื้อเพลิงที่ใช้ และทำเลที่ตั้ง) กระแสเงินสดและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง
ซึ่ง "อีไฟแนนซ์ไทย" จึงได้เจาะลึก ถึงเหตุผลในการประเมินของทริสเรทติ้งในครั้งนี้ ซึ่งพบว่า มี 4 ปัจจัยสำคัญที่ทริสเรทติ้งมีมุมมองในเชิงบวกอย่างมากต่อ EGCO Group ไม่เพียงเท่านั้นยังได้เอ่ยถึงปัจจัยเสี่ยงด้านอื่น ๆ เพื่อให้นักลงทุนได้พิจารณาควบคู่ด้วย
1.ผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำ - EBITDA จะแตะ 2 หมื่น ลบ.ในปี 67
EGCO Group ถือเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทยโดยมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และมี สถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,377 เมกะวัตต์ โดยมาจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 6,145 เมกะวัตต์
ทริสเรทติ้งคาดว่า รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 4-5.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2565-2567 จากการปรับขึ้นของราคาเชื้อเพลิงและการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง1.8-2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงประมาณการ
2.เงินสดแกร่ง - จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
ด้านกระแสเงินสดของ EGCO Group สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบริษัท (ประมาณ 80% ของกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 15-30 ปี โดยโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสินทรัพย์ในการดำเนินงานหลักของบริษัทนั้นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกลไกในการชดเชยเงินลงทุนและส่งผ่านต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ทำให้ช่วยบรรเทาความเสี่ยงในด้านการตลาดและด้านราคาเชื้อเพลิง ส่งผลให้กำไรของบริษัทสามารถคาดการณ์ได้
บริษัททำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อไฟฟ้าที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทจะได้รับชำระเงินตามกำหนดเวลาโดยมีความเสี่ยงของการไม่ได้รับชำระค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับต่ำ โดยภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปัจจุบันนั้น กฟผ. เป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทในสัดส่วนประมาณ 56% (กฟผ. ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA” โดยทริสเรทติ้ง) ส่วนผู้ซื้อ ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสองคือ Manila Electric Company หรือ Meralco (ผู้จำหน่ายไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์) มีสัดส่วนประมาณ 11%
3.ลงทุนหลากหลาย - กำไรมั่นคง
ด้านการลงทุนของ EGCO Group ถือว่ามีความหลากหลายทั้งในด้านของประเภทการผลิต ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ และทำเลที่ตั้ง ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวช่วยให้รายได้และกำไรของบริษัทมีความมั่นคง ทั้งนี้ บริษัทเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้วจำนวน 31 แห่งผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทในเครือ โดยตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
โรงไฟฟ้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 47% ของกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่โรงไฟฟ้าในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 53% โดยไม่มีโรงไฟฟ้าใดที่มีกำลังผลิตเกินกว่า 20% ของกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่อยู่ในระดับต่ำ

4.เติบโตและเดินหน้าไม่หยุด
สำหรับทิศทางการเติบโต ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า EGCO Group กำลังดำเนินกลยุทธ์การเติบโตด้วยการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าและลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการในต่างประเทศมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะ กรณีที่บริษัทเพิ่งซื้อหุ้นในสัดส่วน 17.46% ในบริษัท Apex Clean Energy Holdings, LLC (Apex) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 8.2 พันล้านบาท เนื่องจาก Apex มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวนมาก การลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดได้
ล่าสุด EGCO Group ขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถือหุ้น 49% ใน “ไรเซ็ก” (RISEC) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในเมืองจอห์นสตัน รัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโรงไฟฟ้า “ไรเซ็ก” จำหน่ายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้านิวอิงแลนด์ (“ISO-NE”) และเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในระบบของ ISO-NE
อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมักไม่มีกลไกในการชดเชยเงินลงทุนและส่งผ่านต้นทุนค่าเชื้อเพลิง นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายไปสู่ธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อ นิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างไรก็ดีทริสเรทติ้งเชื่อว่าผลการดำเนินงานและสินทรัพย์หลักของบริษัทจะยังคงมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า

* ความเสี่ยงยังมี แต่ไม่น่ากังวล
ไม่ใช่เพียงแต่มุมมองในเชิงบวกเท่านั้น ทริสเรทติ้งเองก็ต้องประเมินถึงความเสี่ยงในอนาคตของ EGCO Group ควบคู่ไปด้วย ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1.ความเสี่ยงจากโครงการในต่างประเทศ : จุดนี้เกิดจากความโปร่งใสและความต่อเนื่องของกฎระเบียบในบางประเทศที่อาจต่ำกว่า ตลอดจนความเสี่ยงจากผู้ซื้อไฟฟ้า และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงความผันผวนของอุปสงค์-ราคาจำหน่ายไฟฟ้าจึงอาจทำให้รายได้และกำไรมีความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ การบริหารจัดการโครงการในต่างประเทศยังมีความซับซ้อน โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้เกิดความล่าช้าและต้นทุนโครงการที่สูงกว่าคาด โดยทริสเรทติ้งคาดว่า นโยบายการลงทุนที่มีความรัดกุมของบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งจะช่วยให้บริษัทสามารถจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนได้
2. ระดับหนี้สินน่าจะเพิ่มสูงขึ้น : ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 6.05 หมื่นล้านบาทตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ระดับหนี้สินที่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่จะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าการลงทุนใหม่ ๆ จะเริ่มสร้างกระแสเงินสดในอนาคต
ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่มีการเพิ่มทุน อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะทรงตัวอยู่เหนือระดับ 5 เท่าโดยแตะระดับ 6 เท่าในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ของทริสเรทติ้งที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5 เท่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงโครงการลงทุนที่บริษัทมีอยู่เป็นจำนวนมากตลอดจนนโยบายการเงินที่รัดกุม ก็มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจพิจารณาจำหน่ายโครงการบางส่วนสำหรับใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการลดภาระ
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้ทบทวนแนวโน้มอันดับเครดิต (Rating Outlook) ของ EGCO Group เป็น “ลบ (Negative)” เพื่อสะท้อนระดับหนี้สินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth” อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับกลับไปเป็น “คงที่ (Stable)” หากบริษัทสามารถทำให้สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่มีการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก