สำหรับการซื้อขายหุ้น แน่นอนว่า ก่อนที่นักลงทุนอย่างเราจะสามารถซื้อ - ขายหุ้นได้นั้น สิ่งเริ่มต้น คือ เราต้องมีบัญชีหลักทรัพย์สำหรับการซื้อ - ขาย ที่เปิดกับโบรกเกอร์เสียก่อน
ซึ่งปัจจุบัน บัญชีซื้อ - ขายหุ้นหลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งบัญชีแต่ละประเภท ก็มีความแตกต่างกันออกไป แต่จะแตกต่างกันอย่างไร และบัญชีแบบใดเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนบ้าง เดี๋ยวแอดฯเล่าให้ฟังนะ
*** Cash Balance เหมาะกับมือใหม่
เริ่มจากบัญชีวางเงินล่วงหน้า (Cash Balance) : คือ บัญชีที่เราสามารถซื้อหุ้นได้เท่ากับเงินที่มีในบัญชี โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ระบุว่า บัญชีประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะมีหลักการตรงไปตรงมา คือ มีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ก็ซื้อหุ้นได้เท่านั้น
นอกจากจะเข้าใจง่ายแล้ว อีกหนึ่งข้อดีของบัญชีดังกล่าว คือ เป็นการจำกัดวงเงินการซื้อหุ้นของเราด้วยจำนวนเงินที่เรามีในบัญชีหุ้นนั่นเอง หากต้องการซื้อหุ้นด้วยมูลค่ามากกว่าเงินที่มีในบัญชี เราต้องโอนเงินเข้าบัญชีก่อนส่งคำสั่งซื้อหุ้น
ในส่วนของการชำระเงิน โบรกเกอร์จะตัดเงินจากบัญชีในวันที่ 3 หลังจากคำสั่งซื้อได้รับการยืนยันโดยไม่นับวันหยุด หรือที่เรียกว่า T+3 เช่นเดียวกัน การขายหุ้น เราก็จะได้รับเงินในวันที่ T+3
ยกตัวอย่างเช่น สั่งซื้อหุ้น A ในวันศุกร์ เงินค่าซื้อหุ้นจะถูกตัดออกจากบัญชีในวันพุธในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งในส่วนของเงินที่อยู่ในบัญชีหากไม่มีการซื้อ - ขายก็จะได้รับดอกเบี้ยตามที่โบรกเกอร์กำหนดไว้
*** Cash Account เหมาะกับผู้มีเครดิต - วินัย
ต่อมาคือ บัญชีเงินสด (Cash Account) : เป็นบัญชีที่เราสามารถสั่งซื้อหุ้นได้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง โดยโบรกเกอร์จะพิจารณาวงเงินในการเทรดหุ้นจากหลักฐานทางการเงินของผู้ขอเปิดบัญชี
ซึ่งก่อนที่จะส่งคำสั่งซื้อหุ้นได้ นักลงทุนจะต้องวางเงินประกัน 20% ของวงเงินที่ต้องการจะเทรด หรืออาจจะวางเงิน 20% ของวงเงินอนุมัติ เช่น ได้รับวงเงินอนุมัติ 100,000 บาท เราก็ต้องวางเงินประกัน 20,000 บาท นั่นเอง
จากนั้น เมื่อสั่งซื้อหุ้นมูลค่า 30,000 บาท เราต้องโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระค่าหุ้น 30,000++ บาท (Commission + VAT) ภายในวันที่ T+3 ซึ่งโดยทั่วไปมักจะใช้วิธีตัดบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (ATS) เพื่อความสะดวก
และเช่นเดียวกันกับกรณีการขาย ที่จะได้รับเงินโอนเข้าในวันที่ T+3 ถึงแม้ว่าเงินประกันสามารถนำมาใช้ชำระค่าหุ้นได้แต่ต้องมีขั้นตอนเพิ่มเติม หากเราวางเงินประกันไว้ในบัญชี เราก็จะได้รับดอกเบี้ยจากเงินส่วนนี้ตามที่โบรกเกอร์กำหนด
เมื่อมีหุ้นในพอร์ตแล้ว เราก็สามารถนำหุ้นในพอร์ตมาใช้เป็นเงินประกันได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่า Cash Account นั้นมีลักษณะคล้าย ๆ กับบัตรเครดิต คือ สั่งซื้อได้ก่อน แล้วโอนเงินชำระค่าหุ้นภายในเวลาที่กำหนด
ดังนั้น นักลงทุนที่จะสามารถซื้อ - ขายผ่าน Cash Account ได้ต้องได้รับการอนุมัติจากโบรกเกอร์แล้วว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีในระดับหนึ่ง หรือ ที่เรียกภาษาบ้าน ๆ คือ เป็นคนมีเครดิตนั่นเอง
*** Credit Balance Account เหมาะกับพวก Advance
สุดท้าย คือ บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) : เป็นบัญชีที่เราสามารถยืมเงินโบรกเกอร์มาซื้อหุ้นได้ แต่หุ้นที่จะซื้อได้ต้องอยู่ในรายชื่อที่บริษัทฯกำหนดไว้เท่านั้น บัญชีประเภทนี้ เหมาะกับนักลงทุนระดับ Advance
แต่หากนักลงทุนต้องการซื้อหุ้นตัวอื่น ๆ นอกจากที่กำหนดไว้ก็ทำได้เช่นกัน แต่จะต้องซื้อ - ขายผ่านบัญชีเงินสดแทน และด้วยความที่เป็นบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม โบรกเกอร์จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการซื้อ - ขายของบัญชีประเภทนี้มากกว่าบัญชีประเภทอื่น ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงการผิดนัดชำระจากนักลงทุน
โดยขั้นตอนการซื้อหุ้นสำหรับบัญชี Credit Balance ฉบับย่อ คือ นักลงทุนต้องฝากเงินเข้าบัญชีเป็นเงินประกันตาม Initial Margin Rate (IM) ที่กำหนดไว้ โดย IM ของหุ้นแต่ละกลุ่มแตกต่างกันตามปัจจัยพื้นฐานและความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง
เช่น หุ้น A มี IM 50% หากเราต้องการซื้อหุ้น A หุ้นละ 1 บาท 100,000 หุ้น เป็นมูลค่า 100,000 บาท ต้องวางเงินเป็นหลักประกันไว้ 50,000 บาท และส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาทนั้น เป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ ซึ่งนักลงทุนจะมีภาระในการเสียดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์ในส่วนที่กู้ยืมนี้ด้วย
จากนั้น หากหุ้น A ราคาลดลง จนทำให้อัตราส่วนของเงินประกันต่อมูลค่าหุ้นในปัจจุบันลดลง จนต่ำกว่า Maintenance Margin Rate (MM) เราจะถูกเรียกให้โอนเงินประกันเพิ่มเติม หรือที่เรียกว่า Margin Call
เช่น หุ้น A ราคาลดลงเหลือ 0.75 บาท หรือมูลค่าหุ้นเหลือ 75,000 บาท ลดลง 25,000 บาท มูลค่าที่ลดลงในส่วนนี้จะไปถูกหักออกจากเงินประกันจาก 50,000 บาท เหลือ 25,000 บาท ทำให้อัตราส่วนของเงินประกันต่อมูลค่าหุ้นในปัจจุบันลดลงจาก 50% เหลือ 33% (เงินประกัน 25,000 / มูลค่าหุ้น 75,000)
หาก MM ถูกตั้งไว้ที่ 35% เราก็จะถูกเรียก Margin Call โดยมูลค่าหลักประกันนี้จะมีการคำนวณทุกวัน ซึ่งหากไม่มีการเพิ่มหลักประกันภายในเวลาที่กำหนด และหากมูลค่าหลักประกันลดลงจนถึง Force Sell Rate เช่น 25% โบรกเกอร์ก็จะดำเนินการบังคับขายหุ้น A ออกไป (Force Sell) เพื่อนำเงินสดที่ได้จากการขายหุ้นมาชำระหนี้เงินกู้เพื่อให้ MM กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
บัญชี Credit Balance มีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่ข้อดี คือ เป็นการเพิ่มอำนาจในการลงทุน หรือทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้มากกว่าเงินลงทุนที่มีนั่นเอง
จากที่แอดฯเล่ามายาว ๆ ทุกคนคงเห็นแล้วเนอะ ว่าแต่ละบัญชีต่างมีข้อดี ข้อด้อยที่ต่างกันไป ดังนั้น การเลือกบัญชีควรขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และที่สำคัญ คือ นักลงทุนต้องมีความรู้ ความเข้าใจในบัญชีที่จะเลือกใช้ด้วยนะ
-ขอบคุณข้อมูลจาก บล.กรุงศรี