efinancethai

Recommended for You

กองทุนรวม - หุ้น - ETF ต่างกันอย่างไร ?

กองทุนรวม - หุ้น - ETF ต่างกันอย่างไร ?

กองทุนรวม - หุ้น - ETF มีหลายส่วนคล้ายกัน จนทำให้นักลงทุนสับสน และเกิดความเข้าใจผิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น หากต้องการให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องทำความเข้าใจกับเครื่องมือลงทุนทั้ง 3 แบบ เป็นอย่างดี ส่วนเครื่องมือลงทุนทั้ง 3 จะแตกต่างกันอย่างไร มาหาคำตอบกันเลย
 

*** กองทุนรวม - หุ้น - ETF คล้ายกันต้องแยกให้ออก
 

กองทุนรวม - หุ้น หรือ ETF มีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร จนทำให้นักลงทุนหลายคนสับสน และไม่เข้าใจว่า ETF คืออะไรกันแน่ สำหรับ ETF หรือ ExchangeTrade Fund คือกองทุน ที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบเรียลไทม์ เหมือนกับหุ้น ที่เทรดอยู่ในกระดานทั่วไปเลย โดย ETF จะให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนในลักษณะเดียวกับหุ้น และ กองทุน เช่นกัน คือ กำไรจากส่วนต่างราคา และ เงินปันผล


*** กองทุนรวม - หุ้น - ETF แตกต่างกันอย่างไร ?
 

กองทุนรวม - หุ้น และ ETF เมื่อพิจารณากลไกการทำงานเบื้องต้น จะพบว่า หลายส่วนมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็มีความแตกต่างกันพอสมควร โดยสามารถจำแนกได้ ดังนี้

กองทุนรวม และ ETF มีจุดแตกต่างกัน 2 ข้อ ดังนี้ 1.กองทุนรวมมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายสูงกว่า ETF, 2.กองทุนรวมมีจำนวนการซื้อหน่วยลงทุนขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้กำหนด แต่ ETF ถูกกำหนดการลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 100 หน่วย

ขณะที่ ETF แตกต่างกับหุ้น คือ 1.การซื้อหุ้นเป็นการลงทุนในบริษัทเดียว แต่การซื้อ ETF จะเป็นการกระจายซื้อทุกหลักทรัพย์ ที่ ETF อ้างอิงตามน้ำหนักดัชนี และ 2.ETF จะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง ทำหน้าที่เสนอราคาซื้อ-ขาย ระหว่างกัน เพื่อให้ราคาซื้อขายใกล้เคียงกับการขึ้นลงของดัชนีอ้างอิงเสมอ แต่หุ้นจะไม่มีผู้ดูแลสภาพคล่องให้ ราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อ และความต้องการขาย ของนักลงทุนเท่านั้นเลยนะ 
 

*** กองทุนรวม - หุ้น ETF แยกออกแล้ว มาเปิด 5 เทคนิคลงทุน ETF
 

กองทุนรวม - หุ้น และ ETF เมื่อแยกความแตกต่างออกแล้ว ลองมาดู 5 เทคนิคลงทุนใน ETF ที่นักลงทุนควรรู้กันบ้าง

1.พิจารณานโยบาย เพราะ ETF เป็นกองทุนประเภทหนึ่ง จึงต้องพิจารณานโยบายลงทุน และต้องรู้ว่ากองทุนที่นักลงทุนสนใจ นำเงินไปลงทุนอะไรบ้าง เพราะการลงทุน ETF มีดัชนีอ้างอิงมากมาย ดังนั้น ต้องศึกษาอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจลงทุน 

2.ผลตอบแทนต้องใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง เพราะ ETF เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง การตรวจสอบว่า ETF สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิงมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน ไม่ตามเป้าหมายของนโยบายการเข้าลงทุน ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง

3.ค่าธรรมเนียมที่ควรรู้ แม้ ETF มีค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน ต่ำกว่ากองทุนทั่วไป แต่ ETF ก็มีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นด้วย เช่น ค่าผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์, ค่าสอบบัญชี, ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย ซึ่งเหล่านี้ จะรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายรวม และคิดเป็น% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อปี และ ถูกตัดออกจากมูลค่าพอร์ตของเราวันละนิด โดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ที่จะถูกคิดเป็น% ของมูลค่าการซื้อขาย โดยทั่วไป จะอยู่ที่ 0.15% หรือบางแห่งอาจเก็บขั้นต่ำ วันละ 50 บาท แถมยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ของค่าธรรมเนียม จึงต้องอ่านรายละเอียดดีๆ

4.ดู iNav ให้เป็น เพราะ ETF ไม่มีบทวิเคราะห์ที่บอกราคาเหมาะสมเหมือนหุ้น เนื่องจากไม่ได้มีผลประกอบการที่จะนำมาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ อีกทั้งราคาซื้อขาย ETF ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักลงทุนในตลาด ดังนั้น บลจ.จึงมีการคำนวณ และเผยแพร่ iNav หรือ Indicative Net Asset Value ที่เป็นประมาณการของ NAV ในช่วงซื้อขายของวันโดยจะอัพเดททุก 15 หรือ 30 วินาที เพื่อให้นักลงทุนใช้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ ETF แต่ละกองได้

5.สภาพคล่องจำเป็น เพราะ ETF ยังไม่นิยมในไทย ทำให้บางกองมีสภาพคล่องน้อย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกลงทุน ดังนั้นก่อนซื้อ ETF อย่าลืมดูสภาพคล่องกันก่อน เพราะสิ่งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมใน ETF นั้นๆ และส่งผลต่อราคาซื้อหรือราคาขาย ที่เราจะได้รับด้วย ซึ่งจะทำให้เราไม่เสียโอกาส เวลาขายทำกำไรนั่นเอง

แบบสอบถามความพึงพอใจ






บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh