การกระจายความเสี่ยง เป็นการปกป้องพอร์ตลงทุนของเราที่ดีอีก 1 วิธี ยิ่งนำหลักคิดแบบ"พีระมิด" มาผสมผสานเข้าด้วยแล้ว ยิ่งปิดความเสี่ยงในการลงทุนให้ลดลงอย่างมาก แต่กลับสร้างโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ด้วย หลักคิดนี้ จะน่าสนใจแค่ไหน ? โปรดติดตาม !
*** "กระจายลงทุน" จุดเริ่มต้นสร้างพอร์ตปลอดภัย
ขึ้นชื่อว่าการลงทุน ก็คงไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะมีความแข็งแกร่งทนทาน และ สามารถเอาชนะตลาดไปได้เสมอไป ดังนั้น การกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย จึงช่วยลดความผันผวน หรือ ความเสี่ยงจากการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นได้
แม้ว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าการจัดพอร์ตลงทุน หรือ การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลายหลาย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะมีความยุ่งยาก ซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การจะทำเรื่องดังกล่าว อาจไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด
*** เปิด 6 หลักคิด หัวใจสำคัญ"กระจายการลงทุน"
โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้ข้อมูลว่า หัวใจสำคัญของการกระจายการลงทุน ขอเพียงให้นักลงทุน ยึดหลักสำคัญๆ ไว้เพียงแค่ 6 อย่างเท่านั้น
1.ศึกษาข้อมูลการเลือกลงทุน : หลักสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนทุกประเภท คือ การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และ เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเลือกใช้อาวุธเหล่านี้ ในสนามการลงทุนได้อย่างถูกต้อง ตรงกับสถานการณ์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
2.มีสัดส่วนการลงทุนเหมาะกับเป้าหมาย : ควรกระจายการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และข้อจำกัดของนักลงทุนแต่ละคน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร คงไม่มีใครบอกได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น
3.กระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล : ตลาดหลักทรัพย์ฯแนะนำว่า ใน 1 พอร์ต การลงทุนที่ดี ควรแบ่งการลงทุนไปทั้งในสินทรัพย์อย่างหุ้น, ตราสารหนี้ และ ควรมีเงินสดคงเหลือไว้ในยามฉุกเฉิน ขณะที่ ก้อนที่เป็นหุ้น ควรกระจายไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และ ราคาหุ้นมักไม่ผันแปรไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นการประคองพอร์ตหุ้นของเราให้ปลอดภัยที่สุด
4.ไม่มากจนเกินไป: แม้การกระจายความเสี่ยง ต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯแนะนำว่า ส่วนหนึ่งก็ต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการด้วย ถ้ามีสินทรัพย์มากจนเกินไป ก็อาจทำให้การบริหารจัดการ หรือ การติดตามข้อมูลข่าวสารทำได้ยากด้วย และ ยังอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อ - ขาย มากเกินความจำเป็นอีกด้วย
5.มีความยืดหยุ่นพอสมควร : การเลือกลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้อย่างทันท่วงที เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือเมื่อต้องการจัดพอร์ตการลงทุนใหม่
6.ประเมินสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ : ควรติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และประเมินมูลค่าพอร์ตการลงทุนของตนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบว่าผลตอบแทนที่เป็นอยู่น่าพอใจ หรือควรขยับขยายเพื่อเปลี่ยนแปลงแนวทางการลงทุนใหม่
*** หลักคิด"พีระมิด" ปิดความเสี่ยง - สร้างโอกาส
เมื่อทุกคนเริ่มเห็นภาพของการกระจายความเสี่ยงอย่างถูกวิธีมากขึ้นแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำว่า ขั้นตอนต่อไป คือ การนำหลักของการกระจายการลงทุนแบบ"พีระมิด" มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
โดยการกระจายลงทุนแบบ"พีระมิด"เป็นการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class) โดยฐานพีระมิดจะเป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงยอดพีระมิด ที่เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ดังคำกล่าวที่ว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" นั่นเอง
หลักการง่ายๆของการนำแนวคิดนี้มาใช้ คือ จัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ (ฐานพีระมิดกว้าง) ไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเราสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้ค่อนข้างแน่ เช่น เงินฝากธนาคาร, ตั๋วเงินคลัง, ตราสารหนี้ หรือ พันธบัตรฯ เป็นต้น
ขณะที่ ยอดพีระมิดที่สูงขึ้นไป จะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ หรือ อนุพันธ์ เป็นต้น แต่เงินในการลงทุนสินทรัพย์ดังกล่าว ก็ต้องลดหย่อนลงมาต่ำกว่า สินทรัพย์ที่อยู่ในฐานพีระมิด โดยการลงทุนในส่วนนี้ เราเพียงแค่คาดหวังโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น จากผลตอบแทนที่ได้รับเป็นประจำเท่านั้น
หรือ พูดให้เห็นภาพชัดขึ้น คือ หลักการกระจายลงทุนแบบ"พีระมิด" คือ การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินลงทุน (Capital Protection) แต่ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงโอกาสในการทำกำไร (Capital Appreciation) ด้วย นั่นเอง
การที่เราจัดสรรเงินลงทุนในลักษณะ"พีระมิด" นอกจาก จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเรา มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และ ไม่มีความผันผวนมากจนเกินไปแล้ว ยังสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ในทุกภาวะตลาดได้อีกด้วย
ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจกับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ระดับความเสี่ยงหรือโอกาสในการสร้างผลตอบแทน เพื่อนำไปสู่การจัดสรรเงินลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากที่สุด เพียงเท่านี้ ก็สามารถปกป้องเงินต้นของเราให้ปลอดภัย และ ยังสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้อีกด้วย