efinancethai

Special Interview

NER ลุ้นจีนเปิดประเทศหนุนออเดอร์แน่น-ปิดทุกความเสี่ยง ดันรายได้โต

NER ลุ้นจีนเปิดประเทศหนุนออเดอร์แน่น-ปิดทุกความเสี่ยง ดันรายได้โต

 

แม้การแพร่ระบาดโควิด-49 ได้คลี่คลายลงแล้ว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ การดำเนินธุรกิจต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับ  บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง  ซึ่งทีมข่าว "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  เกี่ยวกับแผนธุรกิจของบริษัท

*** ออเดอร์ทะลักหลังโควิดคลี่คลาย

ขณะนี้ความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้มีการคมนาคมมากขึ้น ส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้นทำให้ขณะนี้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและส่งออกที่มีความคล่องตัวขึ้นหลังหลายประเทศเปิดประเทศ

ดังนั้นในปี 66 คาดว่าจะมีปริมาณขาย 5 แสนตัน สร้างรายได้ราว 3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 15% นอกจากนี้กลยุทธ์หลักคือการบุกตลาดอินเดียเพิ่มขึ้น คาดว่าปีนี้ปริมาณขายจากอินเดียจะแตะ 5 หมื่นตันต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของพอร์ตรวม  ซึ่งอินเดียมีความต้องการใช้สินค้าค่อนข้างสูง และได้มีการเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่เพิ่ม 5 รายแล้ว

 นอกจากนี้ภายหลังการเปิดประเทศของจีน ได้ส่งผลดีต่อยอดขาย ซึ่งในช่วงปลายปี 65 เริ่มมีสัญญาณการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาต่อเนื่องแล้ว  และขณะนี้บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าได้เป็นปกติแล้ว


 "ตอนนี้ลูกค้าจีนสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ส่งมอบไตรมาส 2/66 เยอะมาก ได้ราคาค่อนข้างดี เพราะลูกค้าแย่งกันซื้อ น่าจะเป็นเพราะลูกค้ามองว่ารัฐบาลจีนเปิดประเทศแล้ว ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์หลายๆ ตัวในโลกน่าจะมีทิศทางราคาเป็นขาขึ้นได้ เพราะจีนเป็นผู้ใช้รายใหญ่ ถือเป็นข่าวดีในปีนี้ ซึ่งจีนจะเปิดหรือปิดประเทศ ทาง NER ก็มียอดขายไปจีนสม่ำเสมอ เพราะเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ แม้ส่งออกไม่ได้แต่ต้องผลิตไว้ใช้ในประเทศ จึงมีออเดอร์ส่วนหนึ่งที่ต้องใช้ในประเทศแน่ๆ"

บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการบุกตลาดใหม่ในทวีปยุโรป แต่ยังไม่เร่งรีบ เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปกำลังมีปัญหา ซึ่งบริษัทอาจต้องรอให้เศรษฐกิจยุโรปกลับมาฟื้นตัวก่อน แล้วค่อยกลับไปเจรจากับลูกค้าใหม่อีกครั้ง

บริษัทยังมีแผนลงทุน ปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว 15% ซึ่งเป็นแผนทดแทนการสร้างโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงเตรียมนำระบบ AI เข้ามาช่วยในการผลิต ภายใต้งบลงทุน 300-400 ล้านบาท 

 


***แตกไลน์ธุรกิจแผ่นปูนอนปศุสัตว์  

 ธุรกิจแผ่นปูนอนปศุสัตว์ เป็นอีกหนึ่งสายการผลิตใหม่ที่ปัจจุบันอยู่ในช่วงการผลิตแผ่นยางปูรองนอนวัว  และภายในไตรมาส 1/66 จะส่งออกแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์อย่างเต็มรูปแบบ

 ขณะนี้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าญี่ปุ่นแล้ว และมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถจำหน่ายสินค้าลอตแรกได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/66  ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 100 ล้านบาท และคาดว่าในปีถัดไปจะเพิ่มขึ้น คาดเป็นอีกธุรกิจที่สร้างมาร์จิ้นที่ 20% เทียบกับธุรกิจเดิม ที่อยู่ประมาณ 5-8%  และภายในปี 67-68 จะกลายเป็นธุรกิจเรือธงของบริษัท 
 
บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแผ่นปูรองนอนชนิดใหม่ ในกลุ่มที่ใช้กับคน หรือสัตว์ประเภทอื่นๆ เช่น หมู สัตว์เลี้ยงแพะ เพื่อขยายตลาดล่วงหน้า มีเป้าหมายต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจแผ่นปูรองนอนยางพาราที่ใช้งานได้จริง

 "บริษัทมีแผนขยายธุรกิจยังไปสินค้าปลายน้ำมากขึ้นจะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตของรายได้ และช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน" 

*** พร้อมปิดความเสี่ยงทุกช่องทาง
 
 ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน บริษัทได้ปิดความเสี่ยงทุกช่องทางที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเน้นขายในประเทศ  เพื่อป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน เพราะสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้  อย่างไรก็ตาม ปี 66 วางเป้าหมายสัดส่วนยอดขายในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40%  หลังมีคำสั่งซื้อจากอินเดียและจีนที่เปิดประเทศ ทำให้ความต้องการในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น  
 
 "เศรษฐกิจปีนี้ทุกคนบอกว่าเริ่มดีขึ้น แต่ดีขึ้นขนาดไหนไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นถ้าเราปรับปรุงเก็บกวาดหลังบ้าน ต้นทุนไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก กำลังคนและค่าใช้จ่ายส่วนอื่นไม่ได้เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นทางที่ดีกับสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ Low profile บ้าง แต่ Low profile แบบไม่ได้หยุดนิ่ง ปีนี้เตรียมพร้อมกับการขยายงานในอนาคต"

 NER เป็นบริษัทที่ทำสินค้าคอมมูนิตี้ก็จริง แต่ทำสินค้าคอมมูนิตี้แบบแมชชิ่ง อาจเห็นงบดุลในฝั่งหนี้สินที่ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากต้องซื้อสินค้ามาสต็อกไว้เป็นของจริงทั้งหมด เพราะฺฉะนั้นต้องใช้เงินสต็อกสินค้า ใช้พื้นที่ในการสต็อกสินค้าเยอะ แต่นั่นเป็นการปิดความเสี่ยงทุกกรณีของเรา อยากให้ดูงบฯ NER ดีๆ อย่ามองที่หนี้สินอย่างเดียว อยากให้มองที่ความสามารถในการทำกำไรด้วย"

 บริษัทยังลงทุนโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายโดยได้ติดตั้งเพิ่ม 4 เมกะวัตต์ (MW) และส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายเดือนละ 9 แสนบาท-1.2 ล้านบาท และปีนี้จะติดตั้งเพิ่อีก 1-2 MW ที่สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในโรงงานได้


ขณะที่แนวโน้มราคายางปีนี้ หากเศรษฐกิจไม่ตกต่ำมาก สงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่ขยายวงกว้างออกไปเป็นสงครามยุโรป  น่าจะจำกัดวงผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ราคาพลังงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะมีการเลือกตั้ง เป็นจุดสนใจของต่างชาติ ในการกลับเข้ามาลงทุนอีกรอบ ส่งผลดีต่อการค้า การลงทุน ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น   

ดังนั้นในส่วนราคายางแผ่นปีนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 60 บาทต่อกิโลกรัม จากปี 65 เฉลี่ยที่ 57-60 บาทต่อกิโลกรัม และบริษัททำสัญญาขายสินค้าล่วงหน้า 4-5 เดือน  

 


 

***ออกหุ้นกู้ล็อกค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยไว้แล้ว

 อีกปัจจัยที่อาจกดดันธุรกิจ คือภาระหนี้ ซึ่งปัจจุบัน NER มีการออกหุ้นกู้ล็อกต้นทุนไว้หมดแล้ว  ดังนั้นหากราคายางคงอยู่ระดับไม่เกิน 70 บาท บริษัทไม่มีจำเป็นต้องออกหุ้นกู้เพิ่ม ยกเว้นมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่

 ปัจจุบัน NER มีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์สำรองไว้อยู่หลายพันล้านบาท มีความแข็งแรงทางการเงิน ต้นทุนทางการเงินคงที่ 5 ปีข้างหน้า ปัจจุบัน D/E อยู่ที่ประมาณ 1.7 เท่า ตามเกณฑ์ไม่เกิน 2 เท่า
 

*** สานเป้าปี 67 เข้า SET100

กลยุทธ์การขยายธุรกิจด้านต่างๆ บริษัทตั้งเป้าว่าหุ้น NER ภายในปี 67 จะเข้าคำนวณในดัชนี SET100 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปัจจุบันที่ 1.2 หมื่นล้านบาท มั่นใจว่าทำได้ภายในปี 67 จากแผนงานต่างๆ ที่วางไว้ 

 สำหรับผลประกอบการปี 65 คาดจะปิดยอดขายได้ราว 4.4 แสนตัน แต่ที่จะสร้างรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท อาจหลุดเป้าเล็กน้อย เพราะช่วงปลายไตรมาส 4/65 ราคายางชะลอลง และมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 100 ล้านบาทในปี 65 แต่ตัวเลขกำไรที่ประมาณการไว้ยังอยู่ในเป้าหมาย







ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh