KCE ธุรกิจเข้าช่วงขาขึ้น ...กำไรปีนี้โตแรงกว่ากลุ่ม!

เช้านี้ KCE บวกสูงสุด 4.87% รับข่าวกำไร Q4/64 จ่อโตแจ่มทั้ง YoY – QoQ ขณะที่โบรกฯมองกำไร Q1/65 มีลุ่นทำนิวไฮอีกครั้ง หลังอัพกำลังผลิต – ขึ้นราคาขาย -  บาทอ่อนช่วยหนุน ประเมินกำไรทั้งปีโต 38- 45% YoY สูงสุดกลุ่มชิ้นส่วนฯ ชี้ราคาหุ้นปรับฐานลงจนน่าสะสม
 

*** เช้านี้บวกสูงสุด 4.87% รับงบ Q4/64 จ่อโตแรง
 

ราคาหุ้น บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ช่วงเช้าวันนี้ (1 ก.พ.65) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 75.25 บาท เพิ่มขึ้น 4.87% ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 74.75 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 4.18% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 72.04% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น KCE ช่วงเช้าวันนี้ปิดซื้อขายบวก 4.18% เนื่องจากกำลังได้รับปัจจัยหนุน จากการประกาศงบการเงินไตรมาส 4/64 ที่คาดกำไรปกติไว้ที่ 810 ล้านบาท เติบโตขึ้น 94% จากปีก่อน และเติบโตขึ้น 35% จากไตรมาสก่อน 
 

*** เปิดสาเหตุ งบ Q4/64 ทำไมโตทั้ง YoY-QoQ
 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุสาเหตุ ที่ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 ของ KCE มีแนวโน้มเติบโตทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน มีสาเหตุหลักจากรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 134 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นทั้ง 19%จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อน 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะเป็นจุดสูงสุดของปี ที่ระดับ 30% เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯ และการประหยัดต่อขนาด (Economic of scale) ที่เพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตใหม่ ที่ลาดกระบัง 3 แสนตารางฟุต  และกำลังผลิตใหม่อีก 3 แสนตารางฟุต ที่ KCE-Tech ที่ขึ้นได้ช่วงกลางไตรมาส 4/64

เช่นเดียวกับ บล.เคทีเอสที ที่มองว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/64 ของ KCE จะเติบโตขึ้น ทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน มีปัจจัยหนุนจากเงินบาทอ่อนค่า และรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการปรับราคาสินค้าขึ้น ประกอบกับ ขยายกำลังการผลิต นอกจากนี้ ยังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เริ่มลดความรุนแรงลง ส่งผลให้การเดินเครื่องผลิตของ KCE กลับสู่ภาวะปกติ
 

*** กำไร Q1/65 จ่อนิวไฮ อัพกำลังผลิตขึ้นราคา – บาทอ่อนหนุน
 

บล.เอเซีย พลัส มองว่า กำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ของ KCE จะเติบโตขึ้น ทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำสถิติกำไรสูงสุดใหม่รายไตรมาส (นิวไฮ) อีกครั้ง จากการเริ่มรับรู้กำลังผลิตใหม่ ที่เพิ่มขึ้นอีกราว 20% หนุนให้รายได้ปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ GPM ยังทรงตัวสูง จากการประหยัดต่อขนาด และเงินบาทอ่อนค่า

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรสั ระบุว่า ล่าสุด KCE ได้เริ่มปรับขึ้นราคาขายสินค้าอีก 3% กับลูกค้า ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ปรับขึ้นแล้ว 1 รอบ 5% ช่วงเดือน พ.ค.64 สะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น แต่การปรับขึ้นราคาสินค้าของ KCE เป็นการปรับเพิ่มในอัตราเร่งที่ต่ำกว่าคู่แข่ง  จึงคาดไม่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน แต่ได้สะท้อนถึงความต้องการสินค้ายังสูง

นอกจากนี้ KCE ยังมีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เกือบครอบคลุมตลอดช่วงไตรมาส 2/65 แล้ว ถือเป็นอัพไซด์ส่วนเพิ่ม จากเป้าหมายการเติบโตของบริษัท ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน นอกจากนี้ ในปี 65 จะยังไม่เห็นสถานการณ์ Over Supply เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม PCB (Printed circuit board) ส่วนหนึ่งเพราะ Supply ยังไม่เพิ่มในอัตราเร่ง 

ส่วน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงต้นปี 65 ทาง KCE จะได้รับผลบวก จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นที่ลาดกระบัง และ KCE-Tech กว่า 6 แสนตารางฟุต ที่เพิ่มขึ้นในช่วงกลางไตรมาส 4/64 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเงินบาทไตรมาส 1/65 เฉลี่ยอยู่ที่ 33.27 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบปีก่อนที่ 30.82 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ตลอดช่วงไตรมาส 1/65 โดยมีเหตุผลหลัก จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้นโยบายการเงินตึงตัว สะท้อนจากการส่งสัญญาณชัดเจน ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และลดขนาดงบดุล ขณะที่ต้นทุนทองแดง ยังไม่ปรับตัวขึ้นเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เพราะมีการเพิ่ม Supply ในตลาด ทำให้ยังเป็นบวกต่อ GPM ของ KCE ช่วงต้นปี
 

*** กูรูมองกำไรปี 65 โต 38-45% สูงสุดในกลุ่ม
 

บล.เอเซีย พลัส ประเมินกำไรสุทธิปี 65 ของ KCE ไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 38% จากปีก่อน จากแนวโน้มรายได้รวมเติบโตขึ้น 19% ตามอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และผลบวกจากการขยายกำลังการผลิต ประกอบกับ GPM มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง 30.8% จากการเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง อย่าง HDI มากขึ้น 

สอดคล้องกับ บล.เคทีบีเอสที ที่ประเมินกำไรสุทธิปี 65 ของ KCE ไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 45% จากปีก่อน เนื่องจากมองว่า ปี 65 เป็นช่วงต้น ของการก้าวเข้าสู่วัฎจักรขาขึ้น ของ KCE จากความต้องการใช้ PCB  ที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้มีความต้องการใช้สินค้า IT ที่เกี่ยวข้องกับ IoT, Cloud service, 5G, E-commerce, Work from home, Crypto currency ที่ต้องใช้ PCB เป็นหัวใจหลักในแผงวงจรไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังมีการเติบโตที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่ง ให้ความต้องการสินค้า PCB สูงขึ้น เนื่องจาก EV Car มีปริมารการใช้ PCB ที่มากกว่ารถยนต์แบบ Traditional อีกทั้งในอนาคต ยังมีการมาของรถยนต์ไร้คนขับ ยิ่งทำให้ความต้องการ PCB เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ จากการสำรวจประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ มองว่า KCE มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 38 – 45% ขณะที่ HANA และ DELTA มีแนวโน้มเติบโตขึ้น 26 – 30% และ 21 – 31% ตามลำดับ
 

*** โบรกฯชี้ Valuation ยังน่าสนใจ
 

บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า ราคาหุ้น KCE ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา Underperform ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ราว 10% จากการเปลี่ยนกลุ่มเล่นของนักลงทุน แต่ยังมองว่า มูลค่า (Valuation) ของ KCE ยังมีความน่าสนใจ สะท้อนจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไปก่อนนี้ แต่ในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า กำไรสุทธิยังมีแนวโน้มเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ของบริษัทต่อเนื่อง

สอดคล้องกับ บล.เอเซีย พลัส ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า KCE ยังมีความน่าสนใจ จากศักยภาพธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตระดับสูง ประกอบกับ ราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับฐานลงค่อนข้างแรง จนมี Valuation ที่น่าสนใจ สะท้อนจากค่า P/E ปี 65 ที่ระดับต่ำเพียง 25 เท่า จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ (เดิม Switch)
 

*** ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"

 
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมองว่า ผลการดำเนินงานของ KCE กำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น สะท้อนจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่ครอบคลุมเกือบทั้งช่วงไตรมาส 2/65 แล้ว ขณะที่ การใช้ PCB มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามอุตสาหกรรมใหม่ๆที่เริ่มเติบโต เช่น EV Car เป็นต้น ส่งผลให้กำไรสุทธิของ KCE ในช่วง 2 – 3 ปีนี้ มีแนวโน้มทำจุดสูงสุดใหม่ทุกปี
 

ราคาหุ้น KCE เช้านี้ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นแรงในรอบเดือนก็ว่าได้ หลังจากตั้งแต่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ปรับตัวลงต่อเนื่อง แทบทุกวันทำการ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือ การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น KCE วันนี้ จะเป็นการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ ตามผลการดำเนินงาน ที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว หรือไม่ ?