ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้น PTTEP จะกระโดดขึ้นมาในวันนี้ เพราะราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งทะลุ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล จากประเด็นซาอุฯยอมลดกำลังผลิตลงถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่เรื่องนี้ยังเป็นผลดีกับ PTTEP เหมือนที่ผ่านมาจริงหรือ แล้วผลงานปีนี้จะเป็นยังไงต่อไป ? ต้องติดตาม!
*** ราคาหุ้นดีดทำนิวไฮรอบ 7 เดือน รับราคาน้ำมันพุ่ง!
เช้าวันนี้ราคาหุ้น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กระโดดขึ้นไปทำจุดสูงสุดรอบเช้าถึง 106.5 บาท แตะระดับนิวไฮ(New High)รอบ 7 เดือนไปแล้ว ก่อนที่จะปิดตลาดรอบเช้าไปที่ 105 บาท เพิ่มขึ้นถึง 5 บาท หรือ +5% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง +183.94% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
สิ่งที่ทำให้ราคาหุ้น PTTEP กระโดดขึ้นมาในวันนี้ก็คือ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ WTI ที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา จากราคาเปิดตลาดวันที่ 5 ม.ค.ที่ 47.72 ดอลลาร์/บาร์เรล มาแตะ 50.12 ดอลลาร์/บาร์เรลไปเมื่อคืน หรือ +5.02%
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงทันทีหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียประกาศว่า จะปรับลดกำลังผลิตน้ำมันดิบต่อวันลง 1 ล้านบาร์เรล ตลอดเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม ขณะที่กลุ่ม OPEC+ จะรักษาระดับการผลิตเอาไว้เท่าเดิมในเดือนกุมภาพันธ์
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทรีนีตี้ ระบุว่า การที่ซาอุฯ ยอมปรับลดกำลังการผลิตเองกว่า 1 ล้านบาร์เรล ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเป็นอย่างมาก และจะส่งผลดีต่อราคาน้ำมันในช่วงสั้นทำให้ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูงต่อไปจนถึงไตรมาส 1/64 ซึ่งเรามองเป็นผลบวกโดยตรงต่อ PTTEP ที่มีราคาขายอิงกับราคาน้ำมัน
*** รอบนี้ PTTEP อาจไม่ได้ประโยชน์จากน้ำมันดิบขาขึ้น
แม้ PTTEP จะเป็นหุ้นที่อิงผลประกอบการกับราคาน้ำมันดิบมาตลอด แต่บล.หยวนต้า ระบุว่า PTTEP จะได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นไม่มาก เพราะการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จะยิ่งทำให้ PTTEP ต้องบันทึกขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง(Hedging) ราคาน้ำมัน เพราะคาดว่า ณ สิ้นปี 2563 จะมี Position ป้องกันความเสี่ยงน้ำมัน 21 ล้านบาร์เรล
ดังนั้นจึงต้องระวังงบไตรมาส 4/63 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท ลดลง -46% จากไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) และ -66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน(YoY) เพราะการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบจากต้นไตรมาส 41 ดอลลาร์/บาร์เรล มาเป็น 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ในช่วงปลายปี ทำให้บริษัทฯ ซึ่งมี Position ป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันเหลือจาก 3/63 จำนวน 9 ล้านบาร์เรล บันทึกขาดทุน Hedging 1 พันล้านบาท
*** ปี 64 ผลงานยังไม่สดใส
บล.หยวนต้า ระบุต่อว่า มองว่าการเติบโตปี 64 จะถูกถ่วงด้วยทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ ยังระบุว่า ตลาดได้คำนึงถึงราคาน้ำมันดิบที่แข็งแกร่งเข้าไปในราคาหุ้น(Price in)เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รวมความน่าจะเป็นในส่วนของขาลงในช่วงครึ่งหลังของปี 64 เข้าไปด้วย เพราะคาดการว่าตลาดจะกลับมาสมดุลในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนความเสี่ยงทางด้านอุปทานจะเข้ามามีบทบาทในช่วงครึ่งปีหลัง เราคาด Brent จะอยู่ระดับ 56 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงกว่า upper range ที่ 52 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 64
จากการประเมินของนักวิเคราะห์ว่าน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลดีตลอดทั้งปี 64 และอาจยังถูกราคาก๊าซกดดันจะทำให้กำไรสุทธิในปี 64 จึงมองกำไรสุทธิในปี 64 จะเติบโตไม่มากดังนี้
บล. |
กำไรสุทธิปี 64 (ลบ.) |
หยวนต้า |
26,696 |
เคทีบี |
27,500 |
เอเซีย พลัส |
31,098 |
*** แน่นอนว่าราคาตอนนี้แพงไปมากแล้ว
นักลงทุนในตลาดตอนนี้ให้ราคากับ การปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบค่อนข้างมากไปแล้ว และยังไม่ได้รวมผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับลงในครึ่งหลัง โอกาสขาดทุนจาก Hedging และราคาก๊าซปรับลดลง ทำให้ราคาหุ้นในตอนนี้ถือว่าสูงมาก!
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม(ลบ.) |
ทรีนีตี้ |
ซื้อเก็งกำไร |
90 |
ทิสโก้ |
ถือ |
94 |
หยวนต้า |
เก็งกำไร |
107 |
ดีบีเอสวิคเคอร์ส |
ซื้อ |
109 |
เคทีบี |
ซื้อ |
120 |
เฉลี่ย |
104 |
*** ลงทุนตอนนี้ต้องดูระยะยาวแทน
บล.หยวนต้า ระบุเสริมว่า ประมาณการของเรายังไม่ได้รวมอัพไซด์จากโครงการ Gas to Power ในเมียนมา ซึ่งได้รับอนุมัติจากทางรัฐบาลเมียนมาตั้งแต่ 30 ธ.ค. 63 ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดหาผู้ร่วมทุน และเจรจาสัญญาขายไฟฟ้า คาดว่าจะตัดสินใจลงทุน (FID) ภายในปี 65 จากนั้นใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี
โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยสร้างความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของแหล่งก๊าซในเมียนมาของ PTTEP ปี 67 ราว 100 MMSCFD หรือคิดเป็น Upside 3-4% จากสมมติฐานเรา และช่วยเพิ่มกำไรจากโรงไฟฟ้า 600 MW ซึ่งมีกระแสเงินสดมั่นคง
การเข้าเก็งกำไรใน PTTEP หลังจากราคาน้ำมันกระโดดแรงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกไปนัก เพราะจริงๆแล้วหุ้นตัวนี้จะต้องได้ประโยชน์เต็มๆจากราคาน้ำมันดิบ แต่สถานการณ์ในตอนนี้อาจไม่ใช่ เพราะ PTTEP ได้ทำ Hedging เอาไว้ก่อนหน้า และการปรับราคาครั้งนี้ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการขาดทุนเข้ามาแทน ... จึงเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด!