ราคาหุ้น EPG เช้านี้ ดีดทำนิวไฮรอบ 2 ปี คาดได้รับ Sentiment บวก จากงบ Q3/63-64 เติบโตโดดเด่น หลังผลงานฟื้นตัวไวกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์มากพอดึงดูดนักลงทุนหรือไม่? ต้องติดตาม!
*** นิวไฮรอบ 2 ปี นักลงทุนแห่เก็งกำไรงบ Q3/63-64
ราคาหุ้น บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ช่วงเช้าวันนี้ (27 ม.ค.64) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ราคา 8.85 บาท ทำนิวไฮในรอบ 2 ปี ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 2.4% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 162.87% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า
ขณะที่ บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กรุงศรี ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น EPG ช่วงเช้าวันนี้ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮรอบ 2 ปี เนื่องจากถูกคาดหมายว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/63-64 (สิ้นสุดเดือน ธ.ค.63) จะเติบโตโดดเด่น ตามการฟื้นตัวของธุรกิจ จึงทำให้เกิดแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการในช่วงดังกล่าว
*** กำไร Q3/63-64 โตสวยงามแค่ไหน ?
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า EPG จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63-64 จำนวน 317 ล้านบาท เติบโตขึ้น 50.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน โดยมี 2 ปัจจัยหลักหนุน ดังนี้
1.รายได้รวมเติบโตขึ้น 7.6% จากไตรมาสก่อน หลังยอดขายธุรกิจอะไหล่ยานยนต์ปรับตัวดีขึ้นมาก โดยเฉพาะ Canopy มีคำสั่งซื้อจากทวีปยุโรป และออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจนอัตราการใช้ (Utilization Rate) เพิ่มขึ้นเป็น 90% เทียบกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 40 – 50%
นอกจากนี้ ชิ้นส่วนอื่นๆ อย่าง Bed Liner และ Side Step ที่ใช้มากในโรงงานผลิตในประเทศ ได้อานิสงส์บวก จากการฟื้นตัวของยอดขายยานยนต์ในช่วงปลายปี 63 ขณะที่ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน เริ่มมียอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดยอดขายปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน หลัง Food Packaging ได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น
2.ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน ทั้งจาก ZER และ TER เพิ่มขึ้นราว 89.2% จากไตรมาสก่อน หนุนด้วยคำสั่งซื้อจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศที่เร่งการผลิตขึ้น
สอดคล้องกับ บล.โนมูระ พัฒนสิน ที่มองว่า EPG จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63-64 จำนวน 310 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม โดยเฉพาะธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ที่ฟื้นตัวเด่น จากยอดขาย Main Products ที่เพิ่มขึ้น ตามยอดการผลิตรถยนต์ฟื้นตัว และยอดขายของ TJM ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการรถยนต์ SUV ในประเทศออสเตรเลีย ที่เพิ่มขึ้น
*** ผลงานฟื้นแรง จนโบรกฯต้องอัพเป้ากำไรปี 63-64
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของ EPG ในช่วงปี 63-64 และปี 64-65 ขึ้นเฉลี่ย 17.2% สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจที่เร็วกว่าคาด และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาด ส่งผลให้งบปี 63-64 EPG จะมีกำไรสุทธิจำนวน 1,042 ล้านบาท พลิกกลับมาเติบโต 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เช่นเดียวกับ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ที่ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 63-64 ของ EPG ขึ้นจากเดิม 7% เป็น 1 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยสาเหตุหลักเกิดจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมเพิ่มเป็น 95 ล้านบาท (เดิม 40 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลจากธุรกิจยานยนต์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ทั้งนี้ ประมาณการดังกล่าว ยังไม่รวมเงินช่วยเหลือจากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 อีก 50 ล้านบาท
*** ผลงานจะฟื้นแรงต่อเนื่องถึงปี 64-65
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่าการดำเนินธุรกิจในงบปี 64-65 ของ EPG ยังคงสดใส และได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิช่วงดังกล่าว ขึ้นจากเดิมอีก 12% เป็น 1.2 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการฟื้นตัวของ 3 ธุรกิจหลัก ที่ยังโดดเด่น ดังนี้
1.ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ จะเติบโตโดดเด่นสุด จากยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่กลับมาเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และธุรกิจ TJM ที่ประเทศออสเตรเลีย เริ่มมีกำไรต่อเนื่อง จากแผนการขยายตลาด และการลดต้นทุนที่เริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้น
2.ธุรกิจฉนวนความร้อน/เย็น ได้รับปัจจัยบวก จากแนวโน้มภาคการก่อสร้างทั้งในประเทศ และต่างประเทศเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่มีการสั่งซื้อสินค้าระดับพรีเมี่ยม โดยเป็นสินค้าที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง
3.ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เติบโตจากการบริโภคในประเทศฟื้นตัว และความนิยม Food Delivery รวมทั้งการซื้ออาหารไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น จากการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น
4.ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมค้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านบาท เติบโตขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่จะได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ
*** โบรกฯ อัพราคาเป้าหมายใหม่ ดันอัพไซด์สูงขึ้น
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ" พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้น ส่งผลให้ EPG มีอัพไซด์จากราคาเฉลี่ยของนักวิเคราะห์เพิ่มเป็น 16.37% (เดิมเต็มมูลค่า) สะท้อนผลประกอบการของ 3 ธุรกิจหลักที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด และยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในระยะยาวอีกด้วย
บล. |
คำแนะนำเดิม |
ราคาเหมาะสมเดิม (บ.) |
คำแนะนำใหม่ |
ราคาเหมาะสมใหม่ (บ.) |
โนมูระ พัฒนสิน |
เก็งกำไร |
5.90 |
ซื้อ |
9.50 |
หยวนต้า |
ซื้อ |
7.10 |
ซื้อ |
9.70 |
เคทีบี |
ซื้อ |
7.80 |
ซื้อ |
10.00 |
กรุงศรี |
ซื้อ |
7.60 |
ซื้อ |
10.50 |
ราคาเฉลี่ย |
7.10 |
|
9.92 |
ราคาหุ้น EPG ที่ซื้อขายปัจจุบัน กลับมามีอัพไซด์เหลือให้นักลงทุนได้ลุ้นกันพอสมควร หลังนักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมายขึ้นใหม่ สะท้อนการฟื้นตัวของ 3 ธุรกิจหลักที่เร็วกว่าคาด แต่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยทีเดียว
โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้น EPG ยังต้องติดตามความผันผวนของราคาเม็ดพลาสติก, เงินบาทที่แข็งค่าประกอบกับ นโยบายของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ และภาษีนิติบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะกดดันผลประกอบการของ EPG ให้อ่อนตัวลงได้เช่นกัน