เช้านี้ STEC ดีดทำนิวไฮรอบ 2 เดือน คาดได้ปัจจัยหนุนจากงบ Q4/63 ที่มีกำไร 468 ลบ. ดีดว่าตลาดคาดถึง 55% ขณะที่นักวิเคราะห์ มองกำไรปี 64 กลับมาโตในรอบ 3 ปี หลังทยอยเคลียร์งานมาร์จิ้นต่ำ – เดินหน้ารับงานมาร์จิ้นสูงทันที ขณะที่ Backlog ยังอยู่ในระดับสูง เพียงพอรับรู้รายได้ไปอีก 3 ปี
*** นิวไฮรอบ 2 เดือน รับงบ Q4/63 ดีกว่าคาด 55%
ราคาหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ช่วงเช้าวันนี้ (2 มี.ค.64) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 12.80 บาท ทำนิวไฮรอบ 2 เดือน ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 12.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 2.46% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 198.11% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า
สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น STEC ช่วงเช้าวันนี้ ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮรอบ 2 เดือน เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการประกาศงบไตรมาส 4/63 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 468 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังลดลง 22% จากปีก่อน ซึ่งระดับกำไรสุทธิดังกล่าว ดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 55%
ขณะที่ บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ของ STEC ที่ประกาศออกมาดี มีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงกว่าคาด ซึ่งทำได้ในระดับ 5% ทำให้กำไรสุทธิในช่วงปี 64 ของ STEC มีแนวโมกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
*** Backlog ปีนี้ มีแนวโน้มทะลุ 1 แสนลบ.
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบัน STEC มียอดขายที่รอการรับรู้ (Backlog) ราว 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารับงานใหม่ราว 4 หมื่นล้านบาท โดยให้ความสนใจเข้าประมูลโครงการใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง/ส้ม, รถไฟทางคู่สายใหม่ รวมถึงงานส่วนเพิ่มจากโครงการสนามบินอู่ตะเภา ที่คาดมูลค่างานก่อสร้างเฟสแรก ราว 2-3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี STEC ได้ประกาศรับงานเพิ่มแล้ว 1 โครงการ คือ โครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จากกรมธนารักษ์ ซึ่งมีวงเงินก่อสร้าง 6.2 พันล้านบาท
ขณะที่ บล.เมย์แยงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่าในปีนี้ STEC จะได้งานเพิ่ม ประกอบด้วย โครงการสนามบินอู่ตะเภาเฟสแรก มีงานก่อสร้างโยธามูลค่าราว 2.7 หมื่นล้านบาท, งาน O&M มอเตอร์เวย์ มูลค่า 5-6 พันล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายไปเมืองทองธานี มูลค่างานก่อสร้าง 2.5 พันล้านบาท และ โครงการหมอซิตแลนด์ มูลค่าโครงการ 9 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Backlog ในปี 64 ของ STEC มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท
*** กำไรกลับสู่รอบเติบโต หลังหดตัว 3 ปีติด
ก่อนหน้านี้ กำไรสุทธิของ STEC ลดลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 3 ปี (ปี 61-63) แต่ บล.เอเซีย พลัส มองว่า นับตั้งแต่ปี 64 – 65 กำไรสุทธิของ STEC จะเติบโตขึ้นทุกปี โดยประเมินกำไรสุทธิปี 64 ไว้ที่ 1.14 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี 65 ประเมินไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิของ STEC กลับมาสู่รอบการเติบโตอีกครั้ง เนื่องจาก STEC ได้ส่งมอบงานที่มีมาร์จิ้นต่ำในปี 63 แทบทั้งหมดแล้ว ขณะที่ปี 64 จะรับรู้รายได้จากงานที่มีมาร์จิ้นสูง อาทิ โรงไฟฟ้า IPP ทั้ง 3 แห่ง ของ GULF รวมถึงงานต่อเนื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู, ส้ม และเหลือง
สอดคล้อง กับ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ที่ประเมินกำไรสุทธิปี 64 ของ STEC ไว้ที่ 1.12 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 4% จากปีก่อน ส่วนปี 65 ประเมินไว้ที่ 1.32 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 17% จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่ารายได้ของ STEC ในปี 64 จะเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน ตาม Blacklog ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ขณะที่ GPM ทั้งปี คาดปรับตัวขึ้นเป็น 4.7% หลัง STEC ปรับกลยุทธ์รับงานที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้น เช่นโรงไฟฟ้าหินกลอง และโครงการพลังงานสะอาด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป
ส่วนนักวิเคราะห์อีก 2 แห่ง ประเมินกำไรสุทธิปี 64 ของ STEC ดังนี้
บล. |
กำไรสุทธิปี 64 (ลบ.) |
%Chg.YoY |
หยวนต้า |
1,398 |
27 |
ฟินันเซียฯ |
1,118 |
3 |
*** แต่ปีนี้ ยังมีความเสี่ยงฉุดกำไรวูบ
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า แม้จะประเมินกำไรสุทธิปี 64 ของ STEC กลับมาเติบโตได้ในรอบ 3 ปี แต่ยังมีความกังวลต่อสัญญาโครงการรัฐสภาที่ยังไม่ชัดเจน ว่า STEC จะได้รับการขยายสัญญา หรือยกเว้นค่าปรับหรือไม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจเป็น downside risk ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 64
ทั้งนี้ หาก STEC ไม่ได้รับการต่อสัญญาและต้องจ่ายค่าปรับ จากโครงการดังกล่าว งานก่อสร้างที่ล่าช้าทุกๆ 30 วัน จะกดดันกำไรสุทธิปี 64 ลดลงมากสุดถึง 25%
*** แต่โบรกฯยังมอง STEC เด่นสุดในกลุ่ม
บล.เอเซีย พลัส มองว่า STEC ยังมีความน่าสนใจที่สุดในกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ เนื่องจากพื้นฐานแกร่ง จาก Backlog จำนวนมากถึง 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารรองรับรายได้ไปอีกถึง 3 ปี และยังมีโอกาสได้รับงานใหม่เพิ่มในปีนี้อีก นอกจากนี้ STEC ยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับกลุ่ม
ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคาหุ้น STEC ปัจจุบันเทรดที่ P/BV 1.2 เท่า ต่ำกว่า Forward P/BV-2SD ระยะ 10 ปี ที่ 1.5 เท่า ขณะเดียวกัน STEC ยังมีเงินสดในมือ และเงินลงทุนในกองทุนเปิดสูงถึง 6.5 พันล้านบาท
*** ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมองว่าปีนี้ STEC มีความน่าสนใจมากขึ้น หลังส่งมอบงานที่มีมาร์จิ้นต่ำใกล้หมดแล้ว และปรับกลยุทธ์รับงานที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้นทันที ขณะที่ Backlog ยังอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับงานเพิ่มขึ้นราว 4 หมื่นล้านบาท ตามเป้าปีนี้อีกด้วย
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม (บ.) |
เคทีบี |
ถือ |
14.00 |
โนมูระฯ |
ซื้อ |
17.00 |
ยูโอบีฯ |
ซื้อ |
17.00 |
ฟินันเซียฯ |
ซื้อ |
17.00 |
เมย์แบงก์ฯ |
เก็งกำไร |
18.00 |
เอเชีย พลัส |
ซื้อ |
18.00 |
หยวนต้า |
เก็งกำไร |
22.00 |
ราคาเฉลี่ย |
17.57 |
สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาสนใจ STEC ในช่วงนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นที่ซื้อขายปัจจุบัน ยังมีอัพไซด์เหลือให้นักลงทุนได้ลุ้นถึงราว 40% ขณะที่นักวิเคราะห์มองผลการดำเนินงานของ STEC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ หลังเปลี่ยนกลยุทธ์รับงานที่ให้มาร์จิ้นสูงขึ้น