เช้านี้ MAJOR ดีดทำนิวไฮรอบ 2 เดือน คาดรับปัจจัยหนุน ศบค.จ่อคลายล็อกโรงหนังทั่วประเทศ 27 ก.ย.นี้ ด้านโบรกฯ ประเมิน Q3/64 เป็นจุดเริ่มต้นพลิกกำไร แม้ผลการดำเนินงานยังไม่ฟื้น แต่มีบันทึกกำไรขายหุ้น SF พยุง คาดปลายปีนี้เริ่มเห็นผลการดำเนินงานฟื้นเด่น หลังโควิดสงบ หนังฟอร์มยักษ์จ่อเข้าฉายเพียบ
*** นิวไฮรอบ 2 เดือน หลังศบค.จ่อคลายล็อกโรงหนังทั่วประเทศ
ราคาหุ้น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ช่วงเช้าวันนี้ (21 ก.ย.64) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 22.70 บาท ทำนิวไฮรอบ 2 เดือน ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.1 บาท หรือ 0.47% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 240.75% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า
สาเหตุที่ทำให้เช้านี้ ราคาหุ้น MAJOR ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮรอบ 2 เดือน เนื่องจากกำลังได้รับ Sentiment เชิงบวก หลังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เตรียมหารือ เปิดกิจการโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ ภายในวันที่ 27 ก.ย.นี้
ขณะที่ บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา MAJOR ได้กลับมาเปิดโรงภาพยนตร์จำนวน 60 สาขา (37% ของจำนวนสาขาทั้งประเทศ) ในต่างจังหวัดแล้ว ด้วยภาพยนตร์เรื่องแรก คือ The Conjuring 3 โดยใช้มาตรการเว้นระยะห่าง (นั่ง 2 ที่ เว้น 2 ที่)
*** กูรูมอง จุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า ผลการดำเนินงาน ของ MAJOR ผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้ว หลังประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 2 หมื่นราย/วัน ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ ณ ปัจจุบัน กำลังอยู่ในทิศทางขาลง โดยคาดว่า ในช่วงปลายเดือน ก.ย. – ต.ค.นี้ จะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน ต่ำกว่า 1 หมื่นราย/วัน
ดังนั้น เราเชื่อว่า บรรยากาศสำรับ MAJOR จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด- 19 ที่เริ่มคลี่คลาย จึงมองว่า ราคาหุ้น MAJOR ที่ปรับตัวลงไปแตะระดับ 18 บาท/หุ้น เมื่อ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศพุ่งสูงสุด เป็นระดับราคาที่ต่ำสุด ของการแพร่ระบาดรอบนี้แล้ว
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความต้องการของลูกค้าที่อยากกลับเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนจากรายได้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ของ MAJOR ในช่วงครึ่งปีแรกที่ทำได้ถึง 572 ล้านบาท แม้จะมีการจำกัดที่นั่งสูงสุดเพียง 25% ของโรงภาพยนตร์ก็ตาม
*** โค้งสาม เตรียมเทิร์นอะราวด์ หลังบุ๊ครายได้ขายหุ้น SF
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 ของ MAJOR จะพลิกมีกำไรสุทธิมากกว่า 2 พันล้านบาท เทียบปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 125 ล้านบาท และไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 218 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น SF หลังหักภาษี จำนวน 2.82 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานปกติของ MAJOR ในช่วงไตรมาส 3/64 คาดว่ายังขาดทุนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รุนแรง ทำให้ในช่วงดังกล่าว ต้องปิดให้บริการชั่วคราวโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศร่วม 2 เดือน ประกอบกับ ไม่มีส่วนแบ่งกำไรจาก SF แล้ว หลังขายหุ้นที่ถืออยู่ 30% ออกไปทั้งหมด
เช่นเดียวกับ บล.กรุงศรี ที่ประเมินว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 ของ MAJOR จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ หลังขายหุ้น SF สัดส่วน 30% ออกไปให้กับ CPN ทั้งหมด แต่ผลการดำเนินงานปกติยังขาดทุนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องปิดบริการชั่วคราวโรงภาพยนตร์ในช่วงดังกล่าว
*** ผลงานจริงฟื้นไตรมาสสุดท้าย หลังโควิดคลี่คลาย
บล.เอเซีย พลัส มองว่า ผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 4/64 ของ MAJOR จะฟื้นตัวขึ้นโดดเด่นกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 327 ล้านบาท เนื่องจาก การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับ การจัดหาวัคซีน เริ่มมีความหลากหลาย ครอบคลุมประชากรมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยสิ่งที่แตกต่างจากปีก่อน คือ ไตรมาส 4 ปีนี้ สตูดิโอรายใหญ่ของฮอลิวูด ได้นำภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ออกฉายจำนวนมาก อาทิ Fast&Furious9, Black Widow, Spiderman : No way home, Venom, No Time To Die, Jungle Cruise และ Shang-Chi เทียบกับปีก่อน ที่แทบไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ออกฉายเลย
ดังนั้น จึงประเมินว่า รายได้ตั๋วภาพยนตร์ของ MAJOR จะกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้งในช่วงดังกล่าว หนุนให้รายได้อื่นๆ อย่าง การขายป๊อปคอร์น และ เครื่องดื่ม เติบโตตามไปด้วย ประกอบกับ การขยายไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ยักษ์ใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada รวมถึงการกลับมาของรยาได้โฆษณา ที่สร้างกำไรขั้นต้น (Gross Margin) สูงที่สุดถึง 80%
*** โบรกฯมองปี 65 ผู้ชมกลับสู่ระดับใกล้ปกติ ดันผลงานฟื้นแรง
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ผลการดำเนินงานปี 65 ของ MAJOR จะฟื้นตัวเด่น จากฐานกำไรสุทธิปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทยอยเข้าฉายจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ชมจะกลับเข้าโรงภาพยนตร์ราว 70-80% ของระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้รายได้ปี 65 เพิ่มขึ้นถึง 225% จากปีก่อน สู่ระดับ 7.7 พันล้านบาท ส่วนผลกระทบจากส่วนแบ่งกำไร SF ลดลง จะถูกชดเชยด้วย ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง 130-140 ล้านบาท ต่อปี
สอดคล้องกับ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่มองว่า ผลการดำเนินงานปี 65 ของ MAJOR จะพลิกเป็นกำไรได้ จากจำนวนหนังฮอลลีวูด ฟอร์ยักษ์เข้าฉาย เช่น Avatar 2, Jurassic World: Dominion, Black Panther 2, The Marvels, Thor, Aquaman 2, The Flash: Flashpoint และ Transformer 7
อีกทั้งยังมีภาพยนตร์ไทย ที่มีกระแสดี เลื่อนฉายจากปี 64 เป็นปี 65 เช่น บุพเพสันนิวาส 2 พี่นาค 3 ขณะที่ ในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย MAJOR ได้มีการปรับโครงสร้าง และลดต้นทุนไปแล้ว ในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำกำไรสูงขึ้น
*** ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมองว่า ผลประกอบการของ MAJOR ตั้งแต่ไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป มีแนวโน้มพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ปี 65 คาดว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายลง หนุนให้การดำเนินงานปกติของ MAJOR ฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม (บ.) |
เมย์แบงก์ฯ |
ซื้อ |
28.00 |
เอเซียพลัส |
ซื้อ |
25.00 |
โนมูระฯ |
ซื้อ |
24.00 |
หยวนต้า |
ซื้อ |
23.60 |
ฟินันเซีย |
ซื้อ |
23.00 |
ราคาเฉลี่ย |
24.72 |
หากอ้างอิงข้อมูลของนักวิเคราะห์ ดูเหมือนว่า MAJOR เป็นหนึ่งในบริษัท ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 โดยตรง ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวรวดเร็วที่สุดในกลุ่ม สะท้อนจากที่โบรกฯ มองว่า ผลประกอบการจะเริ่มพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป จากการบันทึกกำไรพิเศษ จากนั้นเริ่มฟื้นด้วยผลงานที่แท้จริง หลังโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เตรียมเปิดบริการไตรมาส 4/64 ซึ่งเป็นช่วงที่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทยอยเข้าฉายพอดี...