ข่าวนี้ที่ 1

SET ปีหน้าฉลุย 1,800 - 1,816 จุด แนะสอย 6 หุ้นเด่น รับศก.ฟื้น

SET ปีหน้าฉลุย 1,800 - 1,816 จุด แนะสอย 6 หุ้นเด่น รับศก.ฟื้น


       ASPS ประเมิน SET Index ปีหน้าที่ 1,816 จุด ส่วน EPS 80 บาท/หุ้น  ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนแตะ 9.21 แสนล้านบาท รับคลายล็อกดาวน์ ส่วนปีนี้คงเป้าที่ 1,670 จุด จับตาเฟดลด QE -ปัญหา Evergrande - เพดานหนี้สหรัฐ - น้ำท่วมใกล้ชิด พร้อมแนะลงทุน 6 หุ้นเด่นอิงเศรษฐกิจฟื้น ด้าน FETCO เชื่อปี 65 หุ้นไทยไปได้ 1,800 จุด ศก.ไทยเริ่มกลับมา พร้อมวางเป้าจีดีพีปีโตระดับ 3.67% ส่วนโค้งสุดท้ายปีนี้ มั่นใจเทรนด์ตลาดยังขาขึ้น ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า รับเปิดประเทศ-ฉีดวัคซีนมากขึ้น ด้านดัชนีความเชื่อมั่นฯ นลท. 3 เดือนข้างหน้ายังร้อนแรง 

***ASPS เคาะ SET ปีหน้าแตะ 1,816 จุด 
      นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 65 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยให้เป้าหมายที่ 1,816 จุด ด้าน EPS มองที่ระดับ 80 บาท/หุ้น เบื้องต้นคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 9.21 แสนล้านบาท 
      โดยมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/64 นี้ หลังจากภาครัฐบาลเริ่มทยอยปลดล็อกดาวน์ ซึ่งคาดว่าจะเห็นเต็มรูปแบบมากขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.นี้ แต่ยังมีปัจจัยที่นักลงทุนยังต้องติดตาม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในประเทศ ได้แก่ ประเด็นการปรับลดวงเงินเชิงปริมาณ QE (QE Tapering) จากธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่มีโอกาสปรับขึ้นเร็ว
      ในขณะที่ Evergrande ในจีน แม้มองว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะในประเทศไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง หากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบชะลอตัวจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งอาจทำไทยมีกำลังซื้อจากจีนลดลง
      รวมถึงประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ภายในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ซึ่งหากไม่สามารถปรับเพดานได้ทัน อาจกระทบภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก และ สินทรัพย์ต่าง ๆ ปรับฐานช่วงสั้น โดยข้อมูลในอีตพบว่า หากไม่สามารถขยายเพดานทันส่วนใหญ่ประเด็นดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้นภาพรวมสินทรัพย์จะกลับมารีบาวน์ได้
      ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในไตรมาส 4/64 มาจากสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งยังต้องเฝ้าระวังใน 29 จังหวัด ซึ่งคิดเป็นจีดีพี 27% ของทั่งประเทศ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนปี 54 เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เยอะเท่า

***คงเป้า SET ปีนี้ที่ 1,670 จุด - กำไรบจ. Q3 กระทบหนักสุด
      นายเทิดศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 3/64 จะได้รับผลกระทบหนักสุด แม้ตลาดรับข่าวไปก่อนแล้ว และ คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น และ คลายล็อกดาวน์ โดยคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ 845,331 ล้านบาท และ คงเป้าหมายดัชนีในปีนี้ที่ 1,670 จุด
      ฝ่ายวิจัยคาดเศรษฐกิจไทย Q3/64 จะหดตัว 5.3% จากปีก่อน แต่จะเห็นการฟื้นตัวของดีขึ้นในช่วง Q4/64 จากการทยอยผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ การจัดหาวัคซีนมากขึ้นหนุนผู้ติดเชื้อทยอยลดลงตามลำดับในช่วงปลายปีเป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าช่วยหนุนเศรษฐกิจเติบโตชัดเจนปี 65 เป็นต้นไป โดยฝ่ายวิจัยประเมินจีดีพีปี 65 เติบโตถึง 3.2% จากปีนี้ที่หดตัว 0.4% เช่นเดียวกับกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 65 ที่เบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.21 แสนล้านบาท เติบโตถึง 8.8% จากปีนี้"
      ส่วนประเด็นเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับมาในช่วงไตรมาส 4/64 ได้หรือไม่มองว่าขึ้นกลับสถานการณ์การเปิดประเทศไทย ซึ่งจะเป้นปัจจัยบวกช่วยหนุน แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเรื่องเฟดส่งสัญญาลด QE เป็นปัจจัยกดดัน หักล้างกันอยู่

***แนะช้อน 6 หุ้นเด่นรับเศรษฐกิจฟื้น
      สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 4/64 แนะนำสะสมหุ้นใน 2 ธีมหลัก คือ Restart Economy และ Restructure SET50/100 เพื่อรองรับการเติบโตต่อเนื่องในปี 65 พร้อมกับกระจายการลงทุนหลากหลาย Sector และเลือกมาเฉพาะหุ้นที่มีความโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่ม อย่างเช่น ADVANC เป้า 226 บาท, AEONTS เป้า 280 บาท , CPALL เป้า 70.5 บาท , CPN เป้า 61 บาท , KBANK เป้าปี 65 ที่ 154 บาท  และ TOP เป้า 55 บาท
      ในส่วนของการลงทุนต่างประเทศเทรดอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และ การขับเคลื่อนอัจฉริยะน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ประกอบกับ แนวทางที่รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกเร่งการตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนให้เป็น 0% ซึ่งบรรดากองทุนเริ่มให้ความสำคัญในการลงทุนหุ้นประเภทคำนึกสิ่งแวดล้อม สังคม (ESG) มากขึ้น
      โดยมองว่า การลงทุนในกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผลิตแผงโซลาร์  ผลิตกังหันลม กลุ่มผลิต และ ออกแบบชิพประมวลผล หรือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับการพัฒนาพลังงานสะอาด และ รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานสะอาด (Clean Tech) และ ระบบ AI ที่พัฒนาการขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งได้รับความนิยมในขณะนี้ ยังน่าสนใจ และ เห็นโอกาสลงทุนกลุ่มนี้ผ่านตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และ จีน ซึ่งถือเป็นการลงทุนล้อไปกับเทรนด์ระดับโลก

***FETCO ประเมิน SET ปีหน้าไว้ที่ 1,800 จุด
      นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยปี 65 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดจะอยู่ที่ระดับ 1,750 จุด แต่ส่วนตัวประเมินไว้ที่ระดับ 1,800 จุด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา พร้อมวางเป้าจีดีพีปี 65 โตระดับ 3.67% จากปีนี้ที่คาดทำได้ราว 0.68% หลังคาดว่า ปีหน้ามีโอกาสปรับจีดีพีขึ้นมากกว่าลง หากภาครัฐจัดการปัญหาโควิด-19 และ วัคซีนได้ดี
      ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/64 มองว่า ตลาดยังอยู่ในขาขึ้น และ ยาวไปจนถึงปี 65 เนื่องจากรับอานิสงส์จากมาตรการเปิดประเทศ และ การกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 1,650 จุดในช่วงปลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกทั้ง 2 เรื่องว่า จะผลักดันเศรษฐกิจดีแค่ไหน 

***คาด Q4/64 ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง
      นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางด้านกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้คาดว่า จะไหลกลับเข้ามามากกว่าในช่วงเดือนส.ค.และก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยยังเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพจึงทำให้ปัญหาด้านเงินเฟ้อคงจะยังไม่มี และ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ประกอบกับ ทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่งเป็นเป้าหมายนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังมองหาหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่
      "ฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาตั้งแต่เดือนส.ค. ซึ่งเริ่มเข้ามาซื้อเป็นเดือนแรก และ เดือนก.ย.ที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นเดือนต.ค.นี้ก็ซื้อสะสมต่อเนื่อง ซึ่งรวมกันแล้วเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จากช่วงแรกที่ไหลออกไปกว่า 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าจะเห็นเงินไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติจะดูการฟื้นตัวของตัวเลขนักท่องเที่ยว และ ภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก" 

***เผยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 142.71 
       ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลง 1.1% อยู่ที่ระดับ 142.71 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า โดยนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และ เงินทุนไหลเข้า 
       สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมา คือ ผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
       ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่นักลงทุนบุคคล และ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” และ นักลงทุนต่างชาติปรับลงมาสู่ในระดับ “ร้อนแรง” เช่นกัน ขณะที่หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM) และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)







ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh


LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด