"การบินไทย(THAI)" มั่นใจปี 67 พลิกมีกำไร หากแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จ พร้อมนัดประชุมเจ้าหนี้โหวตแผนฯ 12 พ.ค.นี้ ยันไม่มีการ"แฮร์คัท"หนี้ 4.1 แสนลบ. แต่ของดชำระหนี้ 3 ปีแรก เริ่มผ่อนจ่ายในปีที่ 4 ขอตุนกระแสเงินสด เล็งกู้เงิน-เพิ่มทุน ระดมเงิน 5 หมื่นลบ. ใช้เสริมสภาพคล่อง พร้อมเดินหน้าควบคุมต้นทุน ปรับลดพนักงานเหลือ 1.4-1.5 หมื่นคน จากเดิม 2.9 หมื่นคน
*** นัดประชุมเจ้าหนี้ 12 พ.ค.นี้
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจนแล้วเสร็จ และวานนี้(2 มี.ค.)ได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
และในวันที่ 12 พ.ค. 64 จะจัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อโหวตแผนฟื้นฟู หากแผนผ่านจะส่งเรื่องให้ศาลล้มละลายกลางพิจารณา คาดว่าจะรู้ผลในเดือน มิ.ย.-ก.ค. 64 โดยมูลหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการมีจำนวนราว 4.1 แสนล้านบาท จากจำนวนเจ้าหนี้ 13,000 ราย
หากแผนผ่านการพิจารณาของศาลจะเข้าสู่ขั้นตอนการบริหารแผนฟื้นฟู เบื้องต้น คณะผู้ทำแผนได้มีการเสนอชื่อผู้บริหารแผน แล้ว 2 คน คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล
*** ยันไม่มีการ"แฮร์คัท"หนี้
นายชาญศิลป์ กล่าวยืนยันว่า บริษัทจะไม่มีการแฮร์คัทหนี้ แต่จะใช้วิธีผ่อนชำระ แต่ช่วง 3 ปีแรกจะของดการชำระหนี้ และเริ่มผ่อนชำระในปีที่ 4 โดยบริษัทต้องเตรียมสภาพคล่องให้เพียงพอในการดำเนินธุรกิจด้วย เพราะหากยังต้องชำระหนี้กังวลว่าจะมีปัญหากระแสเงินสดไม่เพียงพอในการบริหารงาน ทำให้ใน 2 ปีนี้ บริษัทมีความต้องการระดมเงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานราว 5 หมื่นล้านบาท จึงมีแผนเตรียมกู้เงินและ เพิ่มทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
"หากใช้วิธีแฮร์คัทมีแนวโน้มว่าแผนฟื้นฟูฯจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ในวันที่ 12 พ.ค.นี้ แต่ขณะเดียวกันหากจ่ายหนี้จะกระทบกระแสเงินสด จึงขอเลือกวิธีผ่อนชำระ โดยไม่มีการแฮร์คัท"
ทั้งนี้ ภายหลังจากแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยได้รับความเห็นชอบจากศาล รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลายลง การบินไทยก็พร้อมที่จะกลับมาประกอบธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของการบินไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสามารถสร้างรายได้ ตลอดจนทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
*** ลุ้นแผนฟื้นฟูฯสำเร็จ พลิกมีกำไรปี 67
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา การบินไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เช่นเดียวกับสายการบินอื่นๆ ทั่วโลกที่ประสบปัญหาขาดทุน ขาดสภาพคล่อง และมีกระแสเงินสดเหลือน้อย จึงจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการและมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาวะหนี้สิน สภาพทางการเงิน ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อให้การประกอบธุรกิจของการบินไทยสามารถสร้างรายได้จนกลับมามีกำไรอีกครั้ง โดยคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ภายในปี 67
โดยบริษัทจะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และพัฒนาแบบองค์รวมภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ คือ สายการบินเอกชนคุณภาพสูง ที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ด้วยความแข็งแกร่งของอัตลักษณ์ความเป็นไทย เชื่อมโยงประเทศไทยสู่ทั่วโลก และสร้างผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง (Private High Quality Full Service Carrier with Strong Thai Brand, Connecting Thailand to the World and Generating Consistently Healthy Profit Margin) ประกอบด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่
1. เป็นสายการบินที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก ด้วยทางเลือกผลิตภัณฑ์ตามความพึงพอใจของลูกค้า โดยการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และบริการด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพสูงโดยมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพิ่มศักยภาพด้านการพาณิชย์ ด้วยการปรับปรุงด้านการพาณิชย์ให้แข็งแกร่งขึ้น หารายได้มากขึ้น โดยมีผลตอบแทนรายได้และกำไรของธุรกิจจากการนำเสนอบริการเสริมเพื่อเป็นตัวเลือกอย่างเต็มรูปแบบ และมีการผสมผสานช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ที่ทำให้เกิดการตลาดแบบผสมผสานกันในหลากหลายช่องทาง (Omnichannel) อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งทางการพาณิชย์ด้วยการลงทุนด้านดิจิทัล เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการพาณิชย์อย่างเข้มข้น
3. การบริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินได้ อาทิ การปรับปรุงสัญญาเช่าเครื่องบินที่เป็นประโยชน์ต่อการบินไทย การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างเข้มงวด รวมถึงการปรับลดความซับซ้อนของโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับธุรกิจเพื่อให้มีความกระชับมากขึ้น การปรับลดจำนวนพนักงานให้อยู่ในสถานะที่สามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นๆ ได้
4. เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงด้านการปฏิบัติการ และความปลอดภัยและการเป็นศูนย์กลางการเชี่อมต่อเครือข่ายสายการบินพันธมิตรมายังจุดบินต่างๆ ในประเทศไทย
ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้านนี้จะถูกขับเคลื่อนโดยการปรับใช้และปรับปรุงระบบและกระบวนการในการทำงานด้วยวิธีการทำงานรูปแบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรม การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของพนักงานในทุกระดับ และคาดว่าจะทำให้บริษัทเกิดกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ประมาณ 10% ภายในปี 68 ตลอดจนเพิ่มศักยภาพบุคลากร เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เปลี่ยนระบบการทำงานรูปแบบใหม่ และเน้นความโปร่งใส ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะทำให้แผนประสบความสัมฤทธิ์ผล
*** เดินหน้าลดพนักงาน
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า ตั้งแต่บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมาย บริษัทมีมาตรการในการหารายได้และลดค่าใช้จ่าย เช่น การเพิ่มรายได้ทั้งจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน (Flight Business) และ ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน (Non-Flight Business) และการลดค่าใช้จ่าย เช่น การปรับลดขนาดองค์กร
บริษัทวางเป้าหมายที่จะปรับลดจำนวนพนักงานลงจากปี 62 ที่มีพนักงานประมาณ 29,000 คน โดยการลดจำนวนพนักงานที่เป็นพนักงานสัญญาจ้าง (Outsource) พนักงานที่เกษียณหรือลาออก และพนักงานผู้เสียสละเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กรในโครงการร่วมใจจากองค์กร MSP A ทำให้ปัจจุบันยมีพนักงานอยู่ประมาณ 21,000 คน และคาดว่าในปี 64 จะมีพนักงานเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กรในโครงการ MSP B และ MSP C อีกประมาณ 6,000 ถึง 7,000 คน ซึ่งจะทำให้มีพนักงานคงเหลือประมาณ 14,000 ถึง 15,000 คน ซึ่งเหมาะสมกับแผนธุรกิจของการบินไทยในอนาคต
*** ลดฝูงบินสอดรับอุตสาหกรรมการบิน
นายชาญศิลป์ กล่าวด้วยว่า บริษัทยังมีแผนในการลดขนาดฝูงบิน และปรับลดแบบเครื่องบินจาก 12 แบบ เหลือ 5 แบบ ปรับลดแบบเครื่องยนต์จาก 9 แบบ เหลือ 4 แบบ เพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของอุตสาหกรรมการบิน และความต้องการในการใช้เครื่องบิน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้นทำให้อุปสงค์ของอุตสาหกรรมการบินในระยะสั้นจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้คณะผู้ทำแผนจึงได้ดำเนินการเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อปรับเงื่อนไขการใช้เครื่องบินกับผู้ให้เช่าเครื่องบิน โดยปรับค่าเช่าเป็นลักษณะยืดหยุ่นตามชั่วโมงการใช้งานจริง รวมถึงได้มีการจัดกลุ่มนักบินให้มีความเหมาะสมกับแบบของเครื่องบินและปรับชั่วโมงการบิน ซึ่งจะทำให้การบินไทยสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบินได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ