"ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)" หั่นงบลงทุนปีนี้เหลือ 5,000 ลบ. จากเดิมวางไว้ 6,000-6,500 ลบ. หลังเลื่อนก่อสร้างโรงงานออกไปบางส่วน พร้อมเพิ่มเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยปีนี้เป็น 17-18% จากเดิม 17% ลุ้น Red Lobster พลิกมีกำไรปี 66 แย้มอยู่ระหว่างศึกษานำธุรกิจ PetCare เข้าตลาดหุ้นต่อไป ด้านโบรก แนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 23.6-24 บาท
*** ลดงบลงทุนปีนี้เหลือ 5 พันลบ.
นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ หัวหน้าหน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ระบุว่า บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนปีนี้เหลือ 5 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดจะใช้ 6-6.5 พันล้านบาท เนื่องจากเลื่อนก่อสร้างโรงงานบางส่วนออกไปเป็นปี 65 แทน แต่ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่กระทบแผนการเปิดโครงการ ซึ่งโครงการที่จะเปิดคาดแล้วเสร็จพร้อมผลิตขายในปี 65 เหมือนเดิม
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 3-5% จากปีก่อน โดยครึ่งปีแรกโตแล้ว 4% ช่วงที่เหลือของปีก็น่าจะทำได้ตามเป้า เพราะแนวโน้มธุรกิจอาหารแช่แข็ง-แช่เย็น และธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง (PetCare) ยอดขายยังโตได้ดีมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปยอดขายบางส่วนจะลดลง เนื่องจากปี 63 ทำยอดขายได้ดีมากจากการล็อกดาวน์ผู้บริโภคกักตุนสินค้า โดยในไตรมาส 3 นี้ คาดว่าอาหารทะเลแปรรูปยอดขายจะลดลง แต่เนื่องจากยอดขายที่แข็งแกร่งจากอาหารทะเลแช่แข็ง จะถูกชดเชยด้วยความต้องการอาหารทะเลแปรรูปที่อ่อนแอได้
พร้อมปรับเพิ่มเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยปีนี้อยู่ในระดับที่ดี 17-18% จากเดิมมองที่ 17% จากยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง และ PetCare มาร์จิ้นดีมาก
สำหรับผลประกอบการปีนี้น่าจะโตตามแผนที่วางไว้ บวกกับเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจของ TU ในทางบวก ซึ่งเงินบาทที่อ่อนค่า บริษัทจะได้ประโยชน์ ในส่วนที่ยอดขายส่วนใหญ่ที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์
*** ลุ้น Red Lobster พลิกมีกำไรปี 66
นางสาวเกวลี กล่าวว่า ธุรกิจ Red Lobster มองว่า ยังมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดสิ้นปีนี้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster จะลดลงที่ 200-300 ล้านบาท โดยปี 65 พยายาม Break Even หรือ จุดคุ้มทุน และปีถัดไปก็จะมีกำไร เพราะแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังคนออกมาทานอาหารนอกบ้านได้
*** ดันธุรกิจ PetCare เข้าตลาดหุ้นต่อจาก TFM
นางสาวเกวลี กล่าวว่า ส่วนการนำบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เข้าระดมทุนนั้น คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยประกอบธุรกิจสัตว์น้ำ ขณะที่ TU ยังมีธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง (PetCare) ก็มีแผนที่จะ Spin-off เข้าตลาดหุ้นเช่นกัน ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาที่จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นลำดับถัดไป
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงแผนใน 5 ปีข้างหน้า ที่จะเพิ่มรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ส่วนผสมอาหารเสริมจากอาหารทะเล (เช่น แคลเซียม, คอลาเจน, น้ำมันทูน่า) และโปรตีนทางเลือกอีก 10% โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 20%
*** โบรก แนะนำซื้อ ราคา 23.6-24 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ยังมีมุมมองบวกต่อกำไรในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ว่าจะยังยืนในระดับสูง โดยเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจ TU ในทางบวก โดยยังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 23.6 บาท
บล.ทิสโก้ มองว่า คาดในไตรมาส 3 จะเติบโตหลักเดียวเนื่องจากฐานที่ต่ำ ก่อนจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 โดยคาดอาหารแช่แข็ง และ Petcare จะช่วยหนุนยอดขาย ชดเชยอาหารพร้อมทานที่ลดลง โดยรวมคาดเห็นกำไรที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง และยังคงแนะนำซื้อ ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 24 บาท
บล.เอเซียพลัส ประเมินทิศทางกำไรจะอ่อนตัวลงบ้างในช่วงครึ่งปีหลังของปีนีน้ แต่ยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง พร้อมคงประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 64-65 จะเพิ่มขึ้นในปี 64 อยู่ที่ 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปี 65 ที่ 3.0% จากธุรกิจกุ้ง แซลมอน และธุรกิจ Red Lobster จะฟื้นตัวชัดเจน โดยยังคงแนะนำซื้อ ที่ 24 บาท และปี 65 คาด 25 บาท