4 โบรกฯ เปิดกลยุทธ์ จัดพอร์ตรับมือม็อบ MBKET คาดดัชนีฯ เสี่ยงลงถึง 1,150 จุด แนะถือเงินสด 70% แต่ ASPS มองต่างถือหุ้นได้ 75% แต่ต้องเลือกเป็นรายตัว ฟาก TISCO แนะไม่ต้องรีบร้อน ส่วน KTBS หวั่นม็อบลากยาวทำหุ้นห้าง-ค้าปลีก-โรงแรม-โครงการรัฐฯ รูดหนัก
ตลาดหุ้นไทยปิดสัปดาห์ (12-16 ต.ค.63) ที่ระดับ 1,233.68 จุด ลดลง 9.28 จุด หรือ -0.75% มูลค่าการซื้อขาย 44,575 ล้านบาท โดยทั้งสัปดาห์ดัชนีลดลง 33.64 จุด หรือ 2.6% โดยปัจจัยสำคัญมาจากความกังวลเรื่องการเมืองในประเทศ ที่กลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร รวมตัวชุมนุมกันเมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 ที่ผ่านมา
สำหรับสัดส่วนการซื้อขายนักลงทุนรายกลุ่ม มีดังนี้ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,009.12 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 525.47 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 479.99 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,963.65 ล้านบาท
* MBKET มองแนวรับอาจลงถึง 1,150 จุด แนะถือเงินสด 70%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (19-23 ต.ค.63) ยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวลง โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง และภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะทยอยประกาศออกมาหากออกมาแย่กว่าตลาดคาดจะยิ่งเป็นปัจจัยกดดัน
โดยสัปดาห์นี้มองแนวรับดัชนีฯ มี 3 ระดับ ได้แก่ 1,200 /1,180 และเลวร้ายสุดหากเกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงทางการเมือง ประเมิน ที่ 1,150 จุด ด้านแนวต้านมองที่ 1,250 จุด ซึ่งแนะนำให้นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตลงทุนหุ้นเพียง 30% ด้านนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำรอดูผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาส3/63 ประกาศออกมาก่อน
"ภาพรวมพอร์ตลงทุน 100% เราแนะนำให้เก็งกำไรแบบช่วงสั้นเพียง 30% ส่วนที่เหลือถือเงินสด เพราะตอนนี้ตลาดอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งยังมีโอกาสแกว่งตัวลงอีกตอบรับการเมืองที่เพิ่มเริ่มชุมนุม โดยต้องรอดูสถานการณ์หลังจากนี้ หากยังไม่มีความรุนแรง หรือตลาดเริ่มรับข่าวไปพอสมควรแล้ว ค่อยเพิ่มสัดส่วนการลงทุน"นายวิจิตรกล่าว
ทั้งนี้แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีทิศทางผลประกอบการไตรมาส3/63 ออกมาดี ได้แก่ หุ้น TISCO ราคาเป้าหมาย 80 บาท ซึ่งประกาศผลประกอบการไตรมาส3/63 แล้วดีกว่าตลาดคาด , AEON ราคาเป้าหมาย 155 บาท โดยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส2 ปี63/64 ออกมาดี,SINGER ราคาเป้าหมาย 17.70 บาท หลังผลการดำเนินงานมีโอกาสดีเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน และ RBF ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท ซึ่งภาพรวมธุรกิจไม่เคยขาดทุน และผลการดำเนินงานมีโอกาสดีเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อนเช่นกัน
* ASPS ชี้ หุ้นหลังพ.ร.ก.ฉุกเฉินผันผวนหนัก ก่อนฟื้นแรง
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ลงทุนในช่วงที่การเมืองในประเทศร้อนแรง หลังรัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่า ข้อมูลตลาดหุ้นในอดีตหลังจากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินใน 4 ครั้ง ที่ผ่านมา เริ่มจาก พ.ค. 35 (พฤษภาทมิฬ) ตามมาด้วย ก.ย. 49 (ชุมนุมกลุ่มพันธมิตร), พ.ค. 53 (ชุมนุมกลุ่มนปช.) และ ม.ค. 57 (ชุมนุมกลุ่มกปปส.) ผลลัพธ์ คือ หลังจากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน SET Index จะผันผวนหนักก่อนในระยะสั้น แต่จะค่อยๆ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป
โดยในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน SET Index มีโอกาสผันผวนหนัก และแกว่งตัวตั้งแต่ -7.35% ถึง +11.17% ในช่วง 1 เดือน 2 เดือน และ 3 เดือน หลังจากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน SET Index ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ โดย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยบวก 4.07% (1 เดือนให้หลัง), 5.69% (2 เดือนให้หลัง) และ 8.21% (3 เดือนให้หลัง)
* แนะถือหุ้นได้ถึง 75% แต่ต้องเลือกเป็นรายตัว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของ ASPS แนะนำแบ่งสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) และเลือกลงทุน (Selective Stocks) โดยถือเงินสด 25% ของพอร์ตการลงทุน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมี และมักจะกดดันให้ SET Index ผันผวนเสมอ ส่วนการลงทุนในหุ้นให้ถือ 75% ของพอร์ตการลงทุน โดยแบ่งกลุ่มหุ้นที่จะลงทุนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
เลือกลงทุนหุ้นกลางเล็กปันผลสูง ไม่ว่าจะเป็น MCS - DCC - ASK - RJH - JMART และ หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่อยู่ในกลุ่มที่มักฟื้นตัวได้ดีหลังรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเมือง แนะนำ Sector ที่ Outperform หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 1 เดือน อย่าง STA - CPF - TU - MTC - SAT - BGRIM - PTTEP - PTTGC
* TISCO คาดการเมืองกด SET จะลง 2% - ต่างชาติขาย 4 พันลบ.
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศนั้น คาดว่าจะกดดันกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกต่อเนื่อง อิงจากการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองหลายครั้งในอดีตดัชนีหุ้นไทย จะปรับตัวลงเฉลี่ย 2% ในช่วง 3 วันทำการ และต่างชาติมักเป็นผู้ขายสุทธิเฉลี่ยประมาณ 4,000 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ต่อมา
ในทางเทคนิค ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในแนวโน้มแกว่งไซด์เวย์ดาวน์ จนกว่าจะสามารถขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดเท่านั้นตลาดหุ้นไทยจึงจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแนวทางอื่น
* แนะรอเก็บหุ้นช่วงอ่อนตัว - ไม่ต้องรีบร้อน
โดยกลยุทธ์หลัก คือ แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมช่วงตลาดอ่อนตัว แต่ไม่ต้องรีบร้อน โดยปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังคาราคาซังอยู่ ทั้งการชุมนุมทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยกดดันสำคัญ
หุ้นที่แนะนำสะสม “เพื่อการลงทุน” หวังผลในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า คือ 1. หุ้นที่แนวโน้มกำไรปีหน้าฟื้นตัวโดดเด่น ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่า 20% จากมูลค่าเหมาะสมทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ AEONTS - BAM - BDMS - BEM - CPALL - MTC - PTTGC-TWPC และ WHA และ 2. แนะทยอยเก็บหุ้นปันผลที่คาดมีอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ DCC - EASTW - INTUCH - LH - QH - NYT - PROSPECT - RATCH และ TVO
สำหรับประเด็นหุ้น “เทรดดิ้ง-เก็งกำไรระยะสั้น” แนะนำ 1. หุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดีทั้ง YoY, QoQ คือ AP- MTC- RBF- SAPPE- SYNEX และ TU 2. หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในระยะสั้น จาก“ช้อปดีมีคืน” คือ COM7 - CRC และ HMPRO และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น คือ KSL และTVO
* KTBS หวั่นชุมนุมยืดเยื้อทำหุ้นห้าง - โรงแรม - ค้าปลีกทรุด
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS เปิดเผยว่ามีมุมมองเป็นลบต่อการชุมนุนมที่แยกราชประสงค์ โดยประเมินผลกระทบเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 หากการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อ เราประเมินว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุด ได้แก่ 1) ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้บริเวณที่ชุมนุม: CRC (ห้างเซ็นทรัลชิดลม, Supersport & Powerbuy ใน Central World), BJC (Big C ราชดำริ), CPN (Central World สัดส่วนรายได้ 14%), HMPRO (มี 1 สาขาเพลินจิต) ส่งผลให้มีการปิดห้างและจำนวนผู้ใช้บริการลดลง
2) กลุ่มท่องเที่ยว ERW (Grand Hyatt Erawan Hotel), CENTEL (Centara Grand at CentralWorld Hotel), MINT (Anantara Siam Hotel) กระทบต่อผู้ใช้บริการลดลง
3) ค้าปลีกร้านค้าปลีกในห้างส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีสาขาจำนวนมาก ผู้ใช้บริการสามารถไปใช้บริการสาขาอื่นได้ เช่น MC (มี 2 สาขาใน Central World และ 1 สาขาใน Big C ราชดำริ), BEAUTY (มีสาขาที่ Central World และ Big C ราชดำริ), COM7 (มีสาขาที่ Central World), JMART (มีสาขาที่ Central World) และ CPW (มีสาขาที่ Central World)
* ชี้หากม็อบรุนแรง จะลามไปถึงหุ้นรับเหมา - นิคม - สื่อ
สำหรับกรณีที่ 2 หากสถานการณ์การชุมนุมรุนแรงบานปลาย ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยคาดว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่
1) รับเหมาก่อสร้าง คาดหุ้นกลุ่มรับเหมา เช่น STEC, CK, PYLON, SEAFCO จะได้รับ sentiment เชิงลบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
2) นิคมอุตสาหกรรม : AMATA, WHA อาจทำให้นโยบายเปิดประเทศให้นักลงทุนเลื่อนออกไป และนักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุน
3) สื่อ PLANB (มีรายได้จากสื่อ OOH 64% ของรายได้ทั้งหมด โดยสื่อ OOH ส่วนใหญ่ของ PLANB อยู่ในกรุงเทพ), VGI (มีรายได้จากสื่อ Transit 53% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งสื่อ Transit ของ VGI อยู่ในกรุงเทพทั้งหมด) เราคาดว่าเม็ดเงินโฆษณากลุ่มสื่อนอกบ้านจะปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้บริโภคลดการออกจากบ้าน