TOP เผย Q2/63 กำไร 2,480 ลบ. โต 12.82% รับสต็อกน้ำมันหนุน ส่วนงวด 6 เดือน ยังขาดทุน 1.1 หมื่นลบ. จากปีก่อนที่มีกำไร 4,975 ล้านบาท ประเมินครึ่งหลังราคาน้ำมัน-โรงกลั่นฟื้น แต่รับปิโตรฯยังชะลอ ฟากโบรกฯ เตือน Q3/63 จะกลับมาอ่อนแออีกครั้ง เหตุไร้ข่าวดีหนุน ให้เป้า 53 บาท
* TOP เผย Q2 กำไรโต 12.82% ได้สต็อกน้ำมันหนุน
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 2,480.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.82% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,198.24 ล้านบาท และพลิกกลับมามีกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุน 13,754 ล้านบาท จากการขาดทุนสต็อกน้ำมันและค่าเงิน
โดย TOP ชี้แจงว่า ในไตรมาส 2/63 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 1.1 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 11.2 ดอลลาร์/บาร์เรล และด้วยปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 271 พันบาร์เรลต่อวัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายและ EBITDA จำนวน 49,372 ล้านบาท และ 2,881 ล้านบาท ตามลำดับ
เมื่อหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ และ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ทำให้ไตรมาส 2/63 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,480 ล้านบาท ซึ่งรวมผลกระทบจากการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันก่อนภาษี 1,404 ล้านบาท และการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปก่อนภาษี 2,469 ล้านบาท
ส่วนงวด 6 เดือน ปี 63 ผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 11,274.12 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 4,975 ล้านบาท
* ประเมินน้ำมัน - โรงกลั่น ครึ่งปีหลังฟื้น แต่ปิโตรฯยังชะลอ
TOP ประเมินทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง ว่า คาดความต้องการใช้น้ำมันใน Q3/63 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 94.3 ล้านบาร์เรล/วัน จาก 82.9 ล้านบาร์เรล/วัน จากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และการผลิตน้ำมันสหรัฐฯ ที่ลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ปีนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านธุรกิจการกลั่นในช่วง Q3/63 มีแนวโน้มใกล้เคียง Q2/63 โดยความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัวหลังจากหลายประเทศคลายล็อคดาวน์ และน้ำมันอากาศยานฟื้นตัว แต่ธุรกิจการกลั่นใน Q4/63 จะได้แรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย
ด้านกลุ่มอะโรเมติกส์ คาดตลาดพาราไซลีน - เบนซีน และ โทลูอีน ช่วยง Q3/63 คาดกาณ์ว่าจะปรับตัวลดลง จากอุปทานจากจีนที่เข้ามากดดัน รวมถึงความต้องการที่ซบเซา แต่ใน Q4/63 ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล
TOP ได้สรุปแผนลงทุน ปี 63-67 เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 3,513 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นโครงการพลังงานสะอาด 3,292 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 221 ล้านบาท
* โบรกฯ เตือน แม้ Q2 กำไร แต่ระวัง Q3 กลับมาอ่อนแอ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ จำกัด เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ ว่า แนวโน้ม TOP ใน Q3/63 ไม่มีปัจจัยหนุนมากเท่ากับ Q2/63 ที่ผ่านมา โดยคาดว่า ต้นทุนราคาส่วนต่างที่เกิดขึ้นระหว่างราคาน้ำมันดิบ (Crude Premium) เพิ่ม หลังสงครามราคาสงบ โดย Crude Premium เริ่มกลับมาเป็นบวกในช่วง มิ.ย.
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มทรงตัว ผลประกอบการจะมีการรับรู้การด้อยค่าสินค้าคงเหลือ หรือ Stock gain loss ที่ลดลง และค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่า ทำให้ Q3/63 มีความเสี่ยงกลับมารับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกครั้ง ทำให้ Q3/63 ไม่มีปัจจัยหนุนมากเหมือน Q2/63 ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับต่ำ แต่ยังคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวของค่าการกลั่นในช่วงปลาย Q3/63 จากผลของการผ่อนคลายมาตราการล็อกดาวน์
* คง Underweight กลุ่มโรงกลั่น - แนะแค่เก็งกำไร TOP
บล.เอเชีย เวลท์ให้น้ำหนัก Underweight หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากผลประกอบการยังคงมีดาวน์ไซด์จากปัจจัยลบที่ยังมีความไม่แน่นอนในช่วงครึ่งปีหลัง 63 และครึ่งปีแรก 64
อย่างไรก็ตามการลงทุนในระยะยาวยังขาดปัจจัยบวกสนับสนุนการลงทุนโดยเฉพาะแนวโน้มค่าการกลั่นที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่เงินปันผลในปี 2563 ยังถูกจำกัดด้วยผลประกอบการที่อ่อนแอ และแผนใช้เงินลงทุนสูง
โดยกลยุทธ์ยังแนะนำให้เก็งกำไร TOP รับปัจจัยบวกระยะสั้นจากงบไตรมาส 2/63 โดยมีราคาเป้าหมาย ที่ 53 บาท ทั้งนี้ราคาหุ้น TOP ปิดการซื้อขายที่ระดับ 42.75 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ -2.29% มูลค่าการซื้อขาย 528.64 ล้านบาท