โบรกฯเปิดกลยุทธ์ลงทุน หลังดัชนีหุ้นไทยพุ่งยืนเหนือ 1,600 จุด แนะปรับพอร์ตหันลุยหุ้นที่พึ่งพาการเติบโตในประเทศที่ราคายัง Laggard รวมถึงเก็งกำไรหุ้นที่มีแนวโน้มงบ Q2/64 แจ่ม และกลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว ชู CPALL-EKH-TACC-CRC-SAPPE--ICHI-BEC เด่น
*** แนะลุยหุ้นที่ยังปรับขึ้นไม่มาก-งบQ2/64 แจ่ม
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ในช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเหนือ 1,600 จุด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตในประเทศ (Domestic Play) ที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่แรง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำได้แก่ กลุ่มการบริโภค ได้แก่ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท , SAPPE เป้าหมาย 36 บาท , TACC เป้าหมาย 8.50 บาท กลุ่มรับการลงทุนภาครัฐบาล ได้แก่ CK ราคาเป้าหมาย 22 บาท , กลุ่มโรงพยาบาล ที่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/64 ออกมาดี ได้แก่ EKH ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท ซึ่งยังมีปัจจัยเรื่องศูนย์เพื่อการมีบุตร IVF ช่วยหนุนช่วงครึ่งปีหลัง
นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับเพิ่มประมาณการณ์เป้าหมายดัชนีฯ ปีนี้ใหม่ จากเดิมเมื่อช่วงปลายปีก่อนมองเป้าไว้ที่ 1,600 จุด โดยในช่วงพ.ค.ที่ผ่านมาแนะนำให้ซื้อหุ้นบริเวณ 1,530 จุด ซึ่งบางรายที่ได้ต้นทุนต่ำระดับ 1,500 จุด แนะนำให้นักลงทุนสามารถถือลงทุนต่อได้ในระยะกลาง- ยาว
ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นในพอร์ต ให้พิจารณาว่าหากดัชนียังไม่หลุดแนวรับ 1,600 จุด แนะนำให้เก็งกำไร เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนมีโอกาสคลายตัวมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเริ่มกระจายวัคซีนในวงกว้างตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. เป็นต้นไป ส่งผลให้การคาดหวังเปิดประเทศมีเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าตั้งแต่มิ.ย. ภาพรวมดัชนีฯ จะไต่ระดับขึ้นต่อได้ต่อเนื่อง โดยมองเป้าหมายมิ.ย.แนวต้าน 1,640 จุด แนวรับ 1,550 จุด
*** "ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี" แนะลุยหุ้น SET100 ที่ราคายัง Laggard
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 1,600 จุด (ทำไฮใหม่ในรอบ 1 ปี 6 เดือน) ทางฝ่ายวิจัยจึงได้นำฐานข้อมูลของ Bloomberg consensus มาวิเคราะห์หาหุ้นใน SET100 ที่มีการปรับฐานลงมาในช่วงก่อนหน้านี้แล้วยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard)
โดยการเทียบกับ RSI ของตลาด (SET RSI อยู่ที่ 67.16) และ upside จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ Bloomberg consensus จะได้หุ้นที่ปรับฐานลงมาแล้วยังมี upside สูงจากราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus ดังนี้
- CPF (RSI 37.52) มี upside 40% จากราคาเป้าหมาย 38.14 บาท
- KBANK (RSI 43.82) มี upside 32% จากราคาเป้าหมาย 162 บาท
- PTTGC (RSI 43.84) มี upside 20% จากราคา เป้าหมาย 76.70 บาท
- BBL (RSI 46.04) มี upside 28% จากราคาเป้าหมาย 150.59 บาท
- TISCO (RSI 46.40) มี upside 18% จากราคาเป้าหมาย 106 บาท
- GLOBAL (RSI 47.13) มี upside 14% จากราคาเป้าหมาย 24.83 บาท
- BAM (RSI 47.18) มี upside 13% จากราคาเป้าหมาย 21.60 บาท
- EPG (RSI 47.47) มี upside 22% จากราคาเป้าหมาย 13.82 บาท
- DTAC (RSI 47.85) มี upside 21% จากราคาเป้าหมาย 37.90 บาท
- ADVANC (RSI 48.17) มี upside 29% จากราคาเป้าหมาย 219.00 บาท
*** แนะลุยหุ้นงบ Q2/64 สวย-มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ในช่วงที่ดัชนียืนเหนือ 1,600 จุด แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มเครื่องดื่ม เก็งกำไรผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/64 ที่คาดว่าจะออกมาดีตามฤดูกาล ได้แก่ ICHI และ SAPPE , กลุ่มสื่อซึ่งมีทิศทางลดต้นทุนและรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ BEC
หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในฝั่งยุโรป ได้แก่ CRC , หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งยังมีทิศทางสดใสในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ IRPC ที่มีโอกาสเข้าซื้อขายใน SET50 และกลุ่มสุดท้ายได้แก่ สินค้าการเกษตร ได้แก่ TVO ซึ่งยังมีมูลค่าพื้นฐานดีราคาถูก
สำหรับภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังคงมีเป้าหมายเดิมที่ 1,650 จุด โดยภาพรวมตลาดหุ้นช่วงมิ.ย. มองกรอบการเคลื่อนไหวให้แนวรับ 1,600 จุด หากหลุดมองแนวรับถัดไป 1,550 จุด ส่วนแนวต้านมองที่ 1,630 จุด
"ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเร็ว มองว่าตอบรับวัคซีนที่จะเริ่มฉีดในประเทศมากขึ้น และต้องดูว่าหลังจากนี้การฉีดจะไวหรือไม่ ด้านการปรับขึ้นดัชนีฯ จะแรงมากหรือไม่ต้องดูว่า ทิศทางเงินเฟ้อ และแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประกอบกันว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินหรือไม่ เพราะหากมีการปรับเปลี่ยนชะลอมาตรการ ก็อาจเห็นแรงขายตลาดสินทรัพย์เสี่ยงลง " นายกรภัทรกล่าว