เมกะเทรนด์ที่มาแรงแซงทุกโค้งในช่วงหลายปีมานี้ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น “เลี้ยงหมาเป็นลูก เลี้ยงแมวเป็นนาย” แน่ๆ ทาสหมาทาสแมวเตรียมเฮได้ เพราะปีนี้ เราจะเปลี่ยนจากการลงทุนในหมาแมว ที่หมายถึงการลงทุนซื้ออาหารและขนมแพงๆ (กว่าของคน) ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติถูกปาก ระดับเกรดพรีเมียมให้บรรดานายทาสทั้งหลาย เป็นการลงทุนจริงๆ ในตลาดหลักทรัพย์
ข่าวดีที่ว่าก็คือกำลังจะมีหุ้นที่เป็นผู้นำในเมกะเทรนด์นี้มาให้ลงทุนกันแล้ว นั่นคือ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) บริษัท Flagship ด้านการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ที่เตรียมขายหุ้น IPO เข้าระดมทุนใน SET หลัง ก.ล.ต. เริ่มนับ 1 ไฟลิ่งไปเรียบร้อยแล้ว เรียกน้ำย่อยให้นิดนึงว่า ITC นี้ระดับโลก แต่จะระดับโลกแบบไหน สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย สรุป Highlight ประเด็นสำคัญมาให้ คลิกดูที่ภาพได้เลย

สรุป Highlight หุ้น ITC
1.เป็น Flagship ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทแมวและสุนัขของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU)
2.ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 2 ของเอเชีย และ Top 10 ของโลก
3.มีกำลังการผลิตรวมกว่า 172,786 ตันต่อปี จากโรงงานผลิต 2 แห่งที่สมุทรสาคร และสงขลา ส่งออกไป 45 ประเทศทั่วโลก รวมกว่า 4,800 ผลิตภัณฑ์
4.ลูกค้า 10 อันดับแรกมีความสัมพันธ์เฉลี่ยกับบริษัท 18 ปี และลูกค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรกมีความสัมพันธ์เฉลี่ยกับบริษัท 21 ปี
5.ยอดจำหน่ายกับลูกค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรก เติบโตเฉลี่ยปีละ 13% ในช่วง 3 ปีล่าสุด (2562-2564)
6.ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภายใต้แนวคิด “อาหารเป็นยา” ไม่ต้องรอให้ป่วยแล้วหาหมอกินยา แต่ผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติถูกปากไม่ต่างจากอาหารคน ทำให้มีอัตรากำไรสูง
ที่มา : ข้อมูลตลาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก Frost & Sullivan, www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564 ข้อมูลทางการเงินของบริษัท จากงบการเงินเสมือนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) รายได้ของ ITC เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี มากกว่าตลาดรวมทั่วโลกที่โตประมาณ 6.6% เพราะมีลูกค้าหลักเป็น Top 5 ของโลก ที่เติบโตสูง ลูกค้าที่เปิดเผยชื่อได้ เช่น Mars Petcare และ Smucker's (ผู้ผลิตช็อคโกแลตและแยมนั่นแหละ)
ITC ยังเป็นบริษัทที่มีอัตรากำไร หรือ Margin ดีมาก โดย Gross Margin ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 20-26% ส่วน Net Margin อยู่ที่ 15-21% สาเหตุเพราะอยู่ในเครือ TU ทำให้ได้เปรียบด้านวัตถุดิบ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าโดยการร่วมคิดค้นและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และเปี่ยมนวัตกรรมให้กับลูกค้า (Co-Creation) แบบ Personalization ทำให้ไม่ต้องแข่งด้านราคา
ที่จริง ITC มีแบรนด์ของตัวเอง แต่บริษัทเน้นการเป็น OEM มากกว่า เพราะมีลูกค้าเป็นรายใหญ่ของโลกอยู่แล้ว ส่วนแบรนด์ตัวเองเอาไว้เป็นโชว์เคส เพื่อทดลองตลาดในกรณีที่ลูกค้ายังไม่แน่ใจในผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆ
ITC มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.8 เท่า
โครงสร้างรายได้ของ ITC เป็นอาหารแมวมากที่สุด 71.8% รองลงมาคือ อาหารสุนัข 12.3% ขนมแมว 8.5% และขนมสุนัข 6.9%
โดยประมาณ 80% ของรายได้เป็นอาหารชนิดเปียก
สินค้าส่วนใหญ่ส่งออกไป ทวีปอเมริกา 54.8% ทวีปยุโรป 15.2% ทวีปเอเชียและภูมิภาคโอเชียเนีย 29.6%
ที่มา : ข้อมูลทางการเงินของบริษัท จากงบการเงินเสมือนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565

จุดเด่นและข้อได้เปรียบของ ITC คือ
1.อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต โดยตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมียอดขายปลีกประมาณ 131,000-135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 ล้านล้านบาท
มีการเติบโตเฉลี่ย 6.6% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2562 - 2564)
โดยคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่ 7.1% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2564-2569)
2.เลือกจับตลาดอาหารแมว ที่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.2% สูงกว่าอาหารสุนัขคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.6% (2564-2569)
และเลือกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกสำหรับแมวและสุนัข (ประมาณ 80% ของรายได้) ที่คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.7% ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงชนิดแห้งคาดโตเฉลี่ย 5.3% ใน 5 ปีข้างหน้า (2564-2569)
ที่มา:ข้อมูลตลาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกจาก Frost & Sullivan
กลยุทธ์การเติบโตของ ITC
1.Innovation Ecosystem
ITC จริงจังเรื่องนวัตกรรม มีทั้งทีม R&D ดูแลการคิดค้นสูตรต่างๆ Global PetCare Innovation ที่ศึกษานวัตกรรม วิจัยเชิงลึก มีบริษัทแม่อย่างไทยยูเนี่ยนที่สนับสนุนผ่านศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน รวมกันเกิดเป็นระบบนิเวศเชิงนวัตกรรม หรือ Innovation Ecosystem ทั้งนี้เพื่อหาโอกาสในตลาด และพร้อมเติมเต็มความต้องการของลูกค้า ผ่านการสร้างสรรค์และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ที่ไอ-เทลและลูกค้าร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เสริมสร้างความสัมพันธ์ในการร่วมเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่ร่วมกันผลิต โดยสามารถใช้โรงงานต้นแบบ หรือ Pilot Plant ในการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่ ๆ ในปริมาณน้อยเพื่อทดสอบตลาดก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการผลิตในปริมาณมาก นอกจากนี้ไอ-เทลยังได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ ๆ ทำให้พัฒนาธุรกิจไปอีกก้าวเสมอ
2.เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
ITC พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อาหารสัตว์เลี้ยงยุคใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องรสชาติและโภชนาการเพื่อเติมเต็มความสุขและสุขภาพที่ดีให้สัตว์เลี้ยงไปพร้อมกัน ทั้งรูปแบบของน้ำเกรวี่ น้ำซุป เยลลี่ และ “ร็อคสตาร์” หรือโปรตีนที่มีลักษณะและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของบริษัท ไอ-เทล และ ยังมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ จำนวนหนึ่งที่ช่วยเสริมสุขภาพโภชนาการเฉพาะทางคาดว่าจะวางจำหน่ายในระหว่างปี 2565 และปี 2566 เช่น เอนไซม์หรือคอลลาเจนที่จะช่วยเสริมสร้างระบบทางเดินอาหาร ซุปกระดูกที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มูสโปรตีนสองสี (Two-tone Protein Mousse) ที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง และเจลาตินที่จะช่วยบำรุงผิวและเสริมสร้างข้อและกระดูก
3.ลุยขยายตลาดอาหารเปียกในจีน
ITC อยู่ระหว่างวางแผนที่จะให้บริการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในประเทศแถบยุโรปและประเทศจีนมากยิ่งขึ้น
โดยประเทศจีน มีอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% ในปี 2559-2564 และยังเปลี่ยนจากวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงแบบเดิมที่นิยมนำอาหารเหลือจากคนมาให้สัตว์เลี้ยง เป็นการซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ที่มา:ข้อมูลตลาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกจาก Frost & Sullivan

รายละเอียดหุ้น IPO
ITC มีแผนขาย IPO จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ประกอบด้วย
1.หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น คิดเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมดหลังขาย IPO
2.หุ้นเดิมที่เสนอขายโดย TU จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น คิดเป็น 2% ของหุ้นทั้งหมดหลังขาย IPO
ที่ปรึกษาทางการเงิน : ฟินันเซีย ไซรัส
วัตถุประสงค์การใช้เงิน IPO
1.ปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติ
2.ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกประมาณ 20% จากปัจจุบันที่ 172,786 ตันต่อปี
3.ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต เช่น ระบบบำบัดน้ำเสีย
4.ลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ
5.ต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
6.ชำระคืนเงินกู้ยืม
7.เป็นเงินทุนหมุนเวียน
โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลัง IPO
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) 77.82%
ผู้ถือหุ้นรายอื่น 0.18%
ผู้บริหารและพนักงาน 0.17%
ประชาชนทั่วไป 21.83%
คาดว่า ITC จะขายหุ้นและเข้าเทรดใน SET ได้ภายในปีนี้
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน