กนง. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis point จาก 1.50% เหลือ 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี
สะท้อนภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจอาการแย่ จึงต้องใช้ยาแรงเข้ามาช่วย
หนำซ้ำยังมีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนซ้ำเติม
แม้ล่าสุดการเจรจาเริ่มเห็นทางออก แต่ที่ผ่านมา เจรจากันมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง ส่วนใหญ่กลับล้มเหลว เอาแน่เอานอนไม่ได้
ฉะนั้น รอบนี้ก็อย่างเพิ่มวางใจ แต่ก็อย่าวิตก หรือมองลบเกิดกว่าเหตุ
สิ่งที่เกริ่นมาข้างต้น ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นไทยไม่ไปไหน โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว หลัง KBANK ออกมาปรับ outlook ที่ไม่สู้ดีนัก
ปกติหุ้นแบงก์เปรียบเสมือนหนึ่งในอินดิเคเตอร์สำคัญที่ชี้นำทิศทางเศรษฐกิจว่าจะไปในทิศทางใด
การที่ KBANK ออกมาปรับ outlook ที่ไม่ค่อยจะดีนัก จึงสร้าง sentiment เชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
แม้สถานการณ์สงครามการค้าในการเจรจารอบล่าสุดจะดูสร้างความหวังให้กับตลาดฯ จนตลาดหุ้นหลายประเทศทั่วโลกต่างขยับทำจุดสูงสุด
แต่หุ้นไทยกับโดยปัจจัยภายในเข้าเล่นงาน ไม่ตอบรับข่าวดีไปกับกระแสโลกเขาเลย
จนหุ้นหลายตัวไหลลงมาทำจุดต่ำสุดในรอบหลายปี ที่เห็นชัดเจนคือกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะ 4 แบงก์ใหญ่อย่าง SCB - BBL - KBANK และ KTB ตลอนจนหุ้นใหญ่หลายตัวอย่าง SCC เป็นต้น
จนเกิดคำถามว่า หุ้นไทยถูกเต็มไปหมด ได้เวลาเข้าช้อนแล้วหรือยัง?
ระวังช้อนหัก (ล้อเล่นนะครับ 55+)
ยกตัวอย่างที่กลุ่มแบงก์

จะเห็นว่าดัชนีกลุ่มแบงก์ลงมาทดสอบกรอบล่าง ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจในทางเทคนิค
ฉะนั้น ถ้าตอบโจทย์ในแง่เทคนิค หากไม่หลุด 425 จุด สำหรับกลุ่มแบงก์ก็น่าช้อนอยู่นา
ส่วนพื้นฐาน ยังน่าเป็นห่วง หลัง NPL กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง จนหลายแบงก์ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น และที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ หากสงครามการค้ายังไม่จบ เศรษฐกิจก็คงยากจะเดินหน้าได้อย่างเต็มตัว
หากจะช้อนหุ้นถูก แต่ยังกั๊ก ไม่กล้าทุ่มเต็มสูบ ก็อาจจะใช้กลยุทธ์ ค่อย ๆ รับทีละไม้ แบ่งเป็นหลาย ๆ ไม้ในการเข้าซื้อ เช่น วางงบ 100,000 บาท จะซื้อหุ้น XYZ อาจจะแบ่งเป็น 4-5 ไม้ ๆ ละ 20,000-25,000 บาท ก็พอจะช่วยลดความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวนในช่วงขาลงได้
นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างนะครับ หากหุ้นที่สนใจอยู่ในกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่หุ้นแบงก์ ก็ลองใช้สัญญาณทางเทคนิคง่าย ๆ ควบคู่ไปกับพื้นฐาน เพื่อวางกลยุทธ์ในการเข้าซ้อนหุ้นถูก เพื่อป้องกันช้อนหัก หรือตกรถได้นะครับ
ด้วยรัก ^^